ผมรับราชการครูเมื่อปี ๒๕๒๐ ในโรงเรียนแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง วันที่ผมเข้ารายงานตัวต่อผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนฝ่ายวิชาการ ผมได้รับมอบหมายให้สอนวิชาภาษาไทยในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๕ ห้อง และเป็นห้องที่อยู่ลำดับท้ายๆของโรงเรียน
เป็นที่น่าเสียดายว่า โรงเรียนในยุคนั้น ผู้บริหารส่วนมากแค่แนะนำการอยู่ร่วมกับครูคนอื่นๆ และระเบียบกฎเกณฑ์ของโรงเรียนที่ครูต้องทำในแต่ละวัน ส่วนวิธีการสอนต้องขวนขวายหาทางที่จะสอนเอาเอง (คงนึกว่าครูเรียนจบปริญญาตรีจากวิทยาลัยครูมาแล้ว คงรู้ดี) โดยไม่มีผู้ใดมาแนะนำว่าวิชาที่ผมต้องสอน ควรจะสอนแบบใด ด้วยวิธีใด มีจุดมุ่งหมายอย่างไร และเด็กแต่ละชั้นของโรงเรียนตนเองเป็นเช่นไรบ้าง ยิ่งเป็นเด็กวัยกำลังพยายามแสดง “ตัวเอง” ด้วยวิธีเฮี้ยวๆ และนักเรียนแต่ละคนมีพื้นฐานการเรียนอย่างไร มีที่ยังอ่อนไม่เพียงพอที่จะเรียนให้รู้เรื่องได้บ้างหรือไม่ (กว่าจะรู้จักนักเรียนดีพอ ก็คลำทางเอาจนเกือบสิ้นภาคเรียน) จะอาศัยความรู้ที่เรียนมาในระดับปริญญาตรี ก็ไม่ตรงกับบริบทนักเรียนในโรงเรียนที่ผมสอนอยู่ จึงจิตตกหมดกำลังใจไปหลายสัปดาห์
แต่…ด้วยความตั้งใจที่อยากเป็น “ครู” ไม่ใช่แค่มามี “อาชีพครู” ผมจึงพยายามสังเกตถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนแต่ละชั่วโมง ช่วงแรกๆ ผมเครียดและล้าเมื่อสิ้นสุดแต่ละวัน หาครูอาวุโสที่จะปรึกษาทางวิชาการจริงๆ ไม่ได้เลยสักคน มีแต่คำแนะนำว่า สอนๆไปเหอะ เดี๋ยวคุณก็เข้าใจและเก่งเอง
ต่อมาเมื่อสอนไปได้ประมาณ ๓ สัปดาห์ ผมเริ่มมองเห็นปัญหาได้ว่า นักเรียนส่วนใหญ่ทุกห้องที่ผมสอน มีพื้นฐานที่อ่อนมากทั้งการอ่าน การเขียน ความเข้าใจต่อสิ่งที่เรียน ปัญหาแรกที่เจอ คือ ลายมือ ที่เขียนหวัดและไม่ถูกต้อง ผมจึงแก้ปัญหาโดยการกำหนดให้นักเรียนทุกคนคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดหนึ่งหน้า ส่งผมทุกวันในตอนเช้า ในไม่ช้าลายมือของนักเรียนก็ดีขึ้นมากใน ๒ เดือนผ่านไป จนอยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าเขียนดีขึ้น
ส่วนปัญหาเรื่องการอ่าน เมื่อถึงชั่วโมงเรียนภาษาไทย ผมก็ให้นักเรียนฝึกอ่านออกเสียงทุกคนก่อน (ช่วงนี้ผมยังไม่สอนหรืออธิบายเรื่องราวหรือตามหนังสือ) ผมไม่ให้นักเรียนอ่านหนังสือพร้อมกันเหมือนแต่เดิม แต่เปลี่ยนให้นักเรียนอ่านคนละหนึ่งหน้า ตามหนังสือแบบเรียนภาษาไทย ช่วงแรกให้อ่านตามเลขที่ เช่น เลขที่ ๑ อ่านหน้า ๑ เลขที่ ๒ อ่านหน้า ๒ ไปจนครบทุกเลขที่ แม้ว่าบางเลขที่จะอ่านหนังสือไม่คล่อง ตะกุกตะกักบ้าง ผมก็รออดทนจนกว่านักเรียนคนนั้นจะอ่านจนจบหน้า ช่วงแรกๆ ค่อนข้างช้า ต่อมานักเรียนที่อ่านไม่คล่อง ก็จะได้รับการช่วยเหลือด้วยเสียงกระชิบจากเพื่อนๆ และมีการติวการอ่านเกิดขึ้ันในห้องเรียน (เกิดคุณธรรมน้ำใจโดยไม่รู้ตัว) เพราะรู้ว่าตัวเองจะต้องอ่านหนังสือหน้าไหน ซึ่งผมพอใจมาก แสดงว่านักเรียนห้องนี้ต่างก็รักเพื่อน ห่วงเพื่อน การอ่านก็ดีขึ้นตามลำดับ
หลังจากนั้น ผมให้อ่านตามเลขที่แบบนี้ อีก ๓ ครั้ง จนครบทุกเลขที่ พอครั้งที่ ๔ ผมไม่ได้ให้อ่านตามเลขที่ แต่ใช้วิธีสุ่มด้วยการจับสลากเลขที่ เช่น ครั้งที่แล้วคนสุดท้ายอ่านจบที่หน้า ๑๒๐ ครั้งนี้ หน้า ๑๒๑ จับได้เลขที่ ๖ เป็นคนอ่าน โดยการจับสลากแบบนี้ จึงไม่รู้ว่าหน้าต่อไปใครจะเป็นคนอ่าน เมื่อเป็นอย่างนี้หลายครั้งเข้า ทุกคนจึงต้องหันมาช่วยกันติวเพื่อนที่อ่านไม่คล่องให้อ่านทุกหน้าไปด้วย ไม่งั้นทุกคนต้องเสียเวลามากกว่าที่เพื่อนคนนั้นจะอ่านจนครบหน้า ดังนั้นจึงมีบรรยากาศการติววิชาการอ่านเกิดขึ้นทุกวัน และลามไปถึงการติววิชาอื่นๆให้เพื่อนตามมาด้วย พอภาคเรียนที่ ๒ ทำให้นักเรียนห้องที่ผมสอนดูกระตือรือร้นในการเรียน ดวงตาแจ่มใส มีความเชื่อมั่นตนเองเพิ่มขึ้น อาการเฮี้ยวๆ จึงน้อยลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับ เพราะไม่มีเวลาว่างพอที่จะไปกวนเพื่อนได้มาก
ส่วนผลพลอยได้ที่ทำให้นักเรียนห้องที่ผมสอนเก่งขึ้นในหลายวิชา เป็นเพราะว่า ประมาณ ๒ สัปดาห์ นักเรียนอ่านหนังสือแบบเรียนภาษาไทยจบเล่มลง เพราะชั่วโมงหนึ่งๆ นักเรียนสามารถอ่านได้ประมาณ ๒๐-๒๒ หน้า หลังจากนั้น ผมก็ให้ใช้หนังสือแบบเรียนภาษาไทยภาคเรียนที่ ๒ อ่านต่อไป เมื่อจบหนังสือภาษาไทยแล้ว ผมให้เอาหนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษามาอ่านต่อ จบหนังสือเรียนวิชาสังคม ฯ ก็ให้เอาหนังสือแบบเรียนวิชาอื่นๆ มาอ่านต่อ เช่น วิทยาศาสตร์ สุขศึกษา ศิลปะ วิชาอะไรก็ได้ที่มีหนังสือแบบเรียน วิธีนี้ทำให้นักเรียนที่ไม่ได้อ่าน ก็ได้ยินเสียง และดูตัวอักษรตามไปด้วย ทำให้ได้ผลทั้ง ๒ ทาง คือการอ่าน และการฟังมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หลังขึ้นภาคเรียนที่ ๒ ไปประมาณ ๓ สัปดาห์ นักเรียนก็อ่านจนจบทุกวิชา ผมจึงให้เอาหนังสือแบบเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๓ มาอ่านต่อไปเรื่อยๆ
และอีกทางหนึ่ง ผมให้นักเรียนอ่านหนังสืออะไรก็ได้ที่บ้านในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ ครั้งละ ๑ เล่ม อ่านเสร็จให้ย่อส่งผมด้วย ต่อมาผมให้ตอบคำถามว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ได้ข้อคิดอย่างไรจากหนังสือที่อ่าน
วิธีการนี้ ในยุคนี้พอจะกล้อมแกล้มเรียกว่าสอนแบบบูรณาการได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่ได้ทำให้นักเรียนของผมอ่านหนังสือเก่งขึ้น เขียนได้ดีขึ้นทั้งลายมือและการใช้ภาษา รวมทั้งทำให้สามารถจับใจความสำคัญจากการอ่านหนังสือ ขอคุยอวดว่า หลังจากนักเรียนห้องที่ผมสอน ปลายภาคเรียนที่ ๒ สามารถทำคะแนนดีกว่าห้องลำดับต้นๆ เกินกว่า ๑๐ % อย่างเห็นได้ชัด นักเรียนผมจึงยิ่งมั่นใจตัวเองมากขึ้น และพอขึ้นเรียน มศ.๓ ได้รับคำชมจากครูทุกคนว่า นักเรียนห้องท้ายๆ ตั้งใจเรียน พื้นฐานดีมาก และเมื่อจบ ม.ศ.๓ ก็สามารถสอบเรียนต่อ ม.ศ.๔ หรือ ปกศ., ปวช. ในห้องเรียนที่ดีที่สุดของโรงเรียนนั้นๆ เกือบทุกคน ต่อมาผมจึงรู้ว่าสิ่งที่ผมทำตอนนั้นก็คือ การสอนตามสภาพปัญหาของผู้เรียน ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนให้สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งนี้ ผมมารับรู้ภายหลังจากจดหมายที่นักเรียนเขียนมาขอบคุณผม เมื่อผมย้ายโรงเรียนมาสอนอีกจังหวัดหนึ่งแล้ว ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจในชีวิตครูของผมครั้งแรกในชีวิต
ทั้งหมดนี้ ถ้าในโรงเรียนแต่ละแห่งมีผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีความรู้ความสามารถในการ “วางระบบ/มาตรฐานการจัดการเรียนการสอน” ให้ชัดเจนแน่นอน ตั้งแต่กำหนดให้มีการทดสอบความรู้ความสามารถพื้นฐานของนักเรียนในแต่ละวิชาไว้ก่อน มีการสำรวจนิสัยใจคอพฤติกรรมการเรียนรู้ และพฤติกรรมส่วนตัวของนักเรียนทุกคนในแต่ละชั้น กำกับควบคุมให้ครูผู้สอนวางแผนการสอนที่นำมาจากหลักสูตร ออกแบบการประเมิน หรือแบบทดสอบที่สามารถกระตุ้นศักยภาพของผู้เรียน รวมทั้งให้มีการตรวจข้อสอบที่ใช้ในการประเมินว่ามีคุณภาพและตรงตามหลักสูตรหรือไม่ สุดท้ายนำผลการประเมินหรือการทดสอบมาวิเคราะห์ หรือวิจัย เพื่อหาทางพัฒนาการเรียนการสอนให้เต็มที่ในภาคเรียนต่อไป ก็จะช่วยให้ครูผู้สอนทุกคนตระหนักว่า ควรสอนนักเรียนที่รับผิดชอบแบบนี้อย่างไรให้ดีที่สุด ที่จะทำให้ก้าวหน้าทั้งสติปัญญา ความรู้ ทักษะความสามารถ พัฒนาจิตใจยิ่งขึ้นทุกๆปี
สรุป : โรงเรียนใดมีผู้บริหารที่สามารถวางระบบการจัดเรียนการสอนให้ได้มาตรฐานตามแนวทางการจัดการเรียนรู้ หรือ ทางจิตวิทยา ถือว่าครูและนักเรียนโรงเรียนนี้โชคดี ที่ไม่ต้องไปเสียเวลา และเสียความรู้สึกดีๆ รวมทั้งไม่ต้องลองถูกลองผิดไปอีกหลายเดือน หรือหลายปี กว่าจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะเรียนและสอนอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพได้
และปีนี้ ผมเริ่มมองเห็นลางๆ ได้ว่า “ความเป็นครู” ไม่ได้อยู่ที่สอนเก่ง อธิบายเข้าใจง่ายเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่อยากช่วยเหลือเด็ก อยากให้เด็กมีการพัฒนาที่ดีขึ้น เมื่อเด็กดีขึ้นจริงๆ ผมเองก็ภูมิใจ และมีความสุขทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผมช่วยแก้ปัญหาให้เด็ก
สิ่งที่เรียนรู้ในปีการศึกษานี้คือ ถึงยังสอนไม่เป็นระบบ ยังไม่มีกระบวนการขั้นตอนในการสอนก็ตาม
แต่…ขอแค่ยังสงสารเด็ก อยากช่วยเหลือเด็ก กล้าเปลี่ยนแปลงวิธีการเดิมๆ ช่วยแก้ปัญหาให้เด็ก
เท่านี้ก็พอจะเรียกแทนตัวเองว่า “ครู” ได้เต็มปากเต็มคำแล้ว
ไม่มีความเห็น