ธรรมะสูงสุดไม่ใช่คำสอน แต่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง จากการปฏิบัติ นี่คือข้อสรุปของผม (ไม่ทราบว่าถูกหรือไม่) จากการอ่านหนังสือชุดธรรมะใกล้มือ เรื่อง ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่ท่านพุทธทาสบรรยายเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๑
เรียนธรรมะหมายความว่า เรียนรู้ความเป็นจริงของตัวเราเอง และของสรรพสิ่ง โดยการเรียนรู้ที่ยากยิ่งที่สุดคือใจของตัวเราเอง
การปฏิบัติ อานาปานสติภาวนา ๑๖ ขั้น ๔ หมวด คือ หมวดที่ ๑ ฐานกาย หมวดที่ ๒ ฐานเวทนา หมวดที่ ๓ ฐานจิต หมวดที่ ๔ ฐานธรรม ท่านพุทธทาสเรียนจากการปฏิบัติ เอามาอธิบายทฤษฎีให้เข้าใจง่ายๆ ซึ่งก็ยังยากอยู่ดี ที่ว่ายากก็เพราะเรามักยึดติดทฤษฎีหรือถ้อยคำที่มักอ้างกันว่าเป็นคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า ใครเอามาตีความผิดไปจากพุทธวัจนะถือว่านอกคอกหรือเดียรถีย์ ผมไม่ได้อยู่ในคอกจึงไม่มีทางได้เป็นเดียรถีย์
แต่ท่านพุทธทาสถูกคนกลุ่มหนึ่งกล่าวหาว่าเป็นเดียรถีย์ ผมได้มีโอกาสรับรู้โดยตรงเมื่อราวๆ ปี ๒๕๕๕ ตอนนั้นผมเป็นกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เป็นเอกชนรายใหญ่ที่บริจาคเงินสร้างหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ ข่าวแพร่ออกไป ก็มีกลุ่มคนคณะหนึ่งส่งหนังสือมาทักท้วงกรรมการธนาคารว่า ไม่ควรสนับสนุนการให้เกียรติท่านพุทธทาสที่เป็นเดียรถีย์
ผมตีความว่า อานาปานสติภาวนา เป็นการภาวนาโดยใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นตัวยึดโยงสติระลึกรู้ เพื่อระลึกรู้ ๔ หมวดคือ มีสติระลึกรู้กาย มีสติระลึกรู้อารมณ์ความรู้สึก มีสติระลึกรู้จิต และมีสติระลึกรู้ธรรม ทั้งหมดนั้น หมายถึงรู้เท่าทันธรรมชาติของมัน ไม่ตกเป็นเหยื่อ จนในที่สุดนำสู่การปล่อยวาง และหลุดพ้นจากอำนาจความครอบงำของโลภ โกรธ หลง ที่มาจากภายนอกตัวเรา และที่มาจากภายในตัวเราเอง
ผมตีความว่า การฝึกอานาปานสติภาวนา เป็นการฝึกจิตให้เข้มแข็งคล่องแคล่ว เอาไว้ปกป้องตนเองจากการจู่โจม ในลักษณะ “มารผจญ” ในลักษณะมี procedural competency ไม่ใช่เอาไว้อธิบายด้วยคำยากๆ เข้าใจยาก ที่เรียกว่า declarative competency คือเป็นการฝึกเพื่อเตรียมความเข้มแข็งภายในตนไว้รองรับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาท้าทาย ในลักษณะของการฝึก future skills หรือ transferable skills เป็นการฝึกที่คนทุกคนควรได้ฝึก ไม่ใช่เฉพาะสำหรับพระหรือคนเคร่งศาสนา
รู้กาย รู้อารมณ์ รู้จิต รู้ปล่อยวาง คือสมรรถนะในการมีชีวิตที่ดี สามารถอยู่ในปากงูได้อย่างดี เหมือนลิ้นงู ที่ไม่ถูกพิษจากเขี้ยวงู
คือมนุษย์เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยพิษร้ายต่อความสุข ต้องฝึกจิตให้เข้มแข็งสามารถอยู่กับพิษเหล่านั้นโดยรู้เท่าทัน ไม่ถูกกระทำโดยพิษร้าย คือโลภ โกรธ หลง วิธีฝึกจิตอย่างง่ายวิธีหนึ่งคือฝึกจากลมหายใจ ที่ทำเมื่อไรก็ได้ โดยต้องพยายามไปให้ถึงขั้นสุดท้ายธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน คือ หมดความยึดมั่นถือมั่น หมดตัวตน
ทั้งหมดนั้น เรียนรู้ได้จากการปฏิบัติ ร่วมกับการใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จนในที่สุดสามารถบังคับใจตนเองได้ ให้ไม่ไขว้เขวแกว่งไกวไปตามเหตุการณ์
วิจารณ์ พานิช
๑๗ ก.พ. ๖๗
ไม่มีความเห็น