บันทึกชุด โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ นี้ ตีความจากการอ่านหนังสือ ๒ เล่ม คือ Lesson Study and Schools as Learning Communities : Asian School Reform in Theory and Practice (2019) edited by Atsushi Tsukui and Masatsuku Murase และ Lesson Study Communities : Increasing Achievement With Diverse Students (2007) by Karin Wiburg and Susan Brown
ตอนที่ ๖ นี้ ตีความจาก บทที่ ๗ ของหนังสือเล่มแรก เรื่อง What makes a teacher “act” : Changing the micro-politics of classroom observation through lesson study in Vietnam เขียนโดย Atsushi Tsukui
สรุปโดยย่อที่สุดคือ ชั้นเรียน และกิจกรรมที่ดำเนินการต่อครู เป็น “การเมืองระดับจุลภาค” ที่หากไม่ระวัง จะเป็นการเมืองเพื่อหน่วยเหนือหรือเพื่อโครงการ แทนที่จะเป็นการเมืองเพื่อนักเรียน
บทนำ
การสังเกตชั้นเรียนเป็นการเมืองระดับจุลภาค(micro-politics) ในหมู่ผู้เข้าร่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผู้เข้าร่วมที่เป็นครู เป็นผู้บริหาร เป็นนักวิจัย ย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันต่อห้องเรียน การวิจัยเรื่องการเมืองระดับจุลภาคในการศึกษามักพุ่งเป้าไปที่ผู้มีส่วนร่วมในพื้นที่การศึกษานั้นๆ เช่น ในโรงเรียน หรือในเขตพื้นที่การศึกษา แต่ไม่ค่อยมีข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องการการพัฒนาการศึกษาที่ดำเนินการโดยความร่วมมือกับต่างชาติ
นโยบายการศึกษาแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (LCE – Learner-Centered Education) มักประสบความล้มเหลว คือไม่สำเร็จหรือสำเร็จเพียงชั่วคราว คำถามคือ มีอะไรเป็นสาเหตุหลักๆ มีผลงานวิจัยถึง ๗๒ รายงาน ในหลากหลายบริบท ที่เสนอเรื่องราวของความล้มเหลว
ที่น่าสนใจกว่า คือเรื่องราวของความสำเร็จ หรือปัจจัยสู่ความสำเร็จ
วิธีการศึกษา
แนวทางศึกษา
ใช้แนวทางกรณีศึกษา ทำความเข้าใจการเปลี่ยนขาด (transform) ห้องเรียน จากโครงการความร่วมมือของรัฐบาลเวียดนามและรัฐบาลญี่ปุ่น ระหว่างปี 2004 – 2007 เพื่อพัฒนาระบบพัฒนาครูประจำการของจังหวัดบักเกี๋ยง (Bac Giang Province) ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบท อยู่ทางใต้ระหว่างดินดอนสามเหลี่ยมกับพื้นที่ภูเขา ที่เลือกพื้นที่นี้เพราะผลการเรียนของนักเรียนอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยของประเทศ และมีกลุ่มชนด้อยโอกาส ได้แก่ชาวเขา และชนกลุ่มน้อย รัฐบาลเวียดนามกำลังสนใจเรื่องความเท่าเทียมทางสังคม พื้นที่จังหวัดบักเกี๋ยงจึงเป็นพื้นที่ตัวแทนสำหรับพัฒนาประเด็นสำคัญของเวียดนาม
ผู้เขียนเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการในปีที่สองและสามของโครงการ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตามและประเมินผล ได้เป็นผู้ออกแบบและดำเนินการโครงการอบรมบางโครงการในช่วงปี 2005 – 2007 ได้ไปเยี่ยมโรงเรียนประถมอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ภาษาเวียดนามในการทำกิจกรรมในโครงการ รวมทั้งการสังเกตกรณีศึกษา
วิธีเก็บข้อมูล
ข้อมูลได้จาก ๓ แหล่ง (๑) จากการสัมภาษณ์เชิงลึก เก็บในเดือนมีนาคม 2007 จากครู ๑๐ คน (๒) ข้อมูลทั่วไปที่เก็บจากโครงการ ได้แก่เอกสารของรัฐ รายงานจากการประชุม และการสังเกตระหว่างเยี่ยมโรงเรียน (๓) บักทึกภาคสนามของผู้เขียนระหว่างปี 2005 – 2007 ประกอบด้วยบันทึกวิดีทัศน์เกี่ยวกับชั้นเรียนของครู การสัมภาษณ์กลุ่มต่อครูที่เข้ารับการอบรม และการสัมภาษณ์ครูใหญ่เป็นรายคน
การเก็บข้อมูลจากครู ๑๐ คนแรกทำโดย (๑) ครูแต่ละคนเปิดชั้นเรียน ในปี 2005 ก่อนดำเนินการ LSLC มีการบันทึกวิดีทัศน์ ที่เน้นบันทึกพฤติกรรมของนักเรียน (๒) ครูเข้าร่วมกิจกรรม LSLC ทุกสัปดาห์ เป็นเวลา ๑ ปี (2006 – 2007) ภายใต้การนิเทศของผู้เขียนและทีมงาน (๓) ผู้เขียนสัมภาษณ์เชิงลึก ระหว่างดูวิดีทัศน์ที่บันทึกการเปิดชั้นเรียนที่ครูแต่ละคนสอน บันทึกวิดีทัศน์การสัมภาษณ์
ในการเก็บข้อมูล ผู้เขียนอยู่ร่วมตลอดกิจกรรม (๑) (๒) และ (๓) และเป็นผู้ถามคำถามปลายเปิดต่อครู เพื่อให้ครูตอบแบบสะท้อนคิดความแตกต่างของกระบวนทัศน์ของตนต่อกิจกรรมการสอนก่อนและหลัง LSLC กิจกรรมสะท้อนคิดนี้ทำกันสองคนระหว่างครูแต่ละคนกับผู้เขียนเท่านั้น ในขณะที่กิจกรรม LSLC จริงๆ ครูทุกคนเข้าร่วม
เลือกครู น และครู ม มาเป็นกรณีศึกษา เนื่องจาก (๑) ทั้งสองคนเข้าร่วมกิจกรรม LSLC ทุกครั้ง ตลอดปีการศึกษา (๒) ครู น แทบจะไม่เปลี่ยนวิธีสอนและวิธีสังเกตเลย (๓) ครู ม เปลี่ยนวิธีสังเกตชั้นเรียนอย่างมาก ครู ม เป็นศึกษานิเทศก์ของสำนักการศึกษาของจังหวัดบักเกี๋ยงตั้งแต่เริ่มใช้หลักสูตรใหม่ในปี 2002 และเข้าร่วมงานกับผู้เขียนในกิจกรรม LSLC ประจำสัปดาห์ใน ๒ โรงเรียน
บริบทด้านนโยบายที่กำกับครูในเวียดนาม
การปฏิรูปหลักสูตร
ปี 1998 ออกกฎหมายปฏิรูปการศึกษา ระบุเป้าหมายที่ทรงคุณค่า (purpose) เป้าหมายที่ชัดเจน (target) และการปรับระบบการบริหาร ระบุชัดเจนว่าเพื่อให้เด็กได้พัฒนาครบด้าน
ปี 2002 รัฐบาลเวียดนามปฏิรูปหลักสูตรชั้นประถมและตำราเรียน หลังใช้หลักสูตรเดิมมา ๒๐ ปี เน้นการพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม ปรับวิธีการสอนและการเรียน เพื่อให้นักเรียนพัฒนาสู่ชั้นที่สูงขึ้นได้อย่างราบรื่น และบูรณาการเข้ากับพัฒนาการทางวิชาการของประเทศเพื่อนบ้านได้ กระทรวงศึกษาธิการได้ออกข้อบังคับหลักการประเมินผลงานของครูประถม และข้อบังคับหลักการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของนักเรียนชั้นประถม
การฝึกอบรมครูประจำการ ร่วมกับแหล่งทุนนานาชาติ
เพื่อเปลี่ยนวิธีสอน กระทรวงศึกษาธิการจัดฝึกอบรมครูประจำการทั่วประเทศ และเผยแพร่คำขวัญ “สอนวิธีใหม่” สร้างความสับสนแก่ครู ครูเรียกร้องให้มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการตามหลักสูตรใหม่อย่างไร ต้องการความชัดเจนเรื่อง “การสอนและเรียนรู้เชิงรุก” “เด็กเป็นศูนย์กลาง” และ “เรียนโดยการแก้ปัญหา” เป็นที่มาของโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมีโครงการร่วมมือกับรัฐบาลเบลเยี่ยม โครงการร่วมมือกับยูนิเซฟ และโครงการร่วมมือกับไจก้า (JICA – Japan International Cooperation Agency)
ราวๆ ปี 2000 รัฐบาลเบลเยี่ยมเข้าไปช่วยพัฒนาวัสดุการสอน และพัฒนาครูในภาคเหนือของประเทศเวียดนาม กลางปี 2000 UNICEF เข้าไปช่วยพัฒนา “โรงเรียนที่เป็นมิตรกับเด็ก” เน้นช่วยพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ สนุก มีความสุข และดึงดูดความสนใจ
ไจก้าร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนามดำเนินโครงการพัฒนาครูในจังหวัดบักเกี๋ยง โดยมีเป้าหมาย ๓ ประการคือ (๑) สร้างความตระหนักเรื่องบทเรียนที่เหมาะสม (๒) ความสามารถในการออกแบบบทเรียน (๓) ฝึกดำเนินการโดยใช้วัสดุที่หาง่าย ใช้งานง่าย
การประเมินครู
ตั้งแต่ปี 2000 ธนาคารโลกเข้าไปช่วยพัฒนาการศึกษาของเวียดนามโดยพัฒนาทั้งด้าน hardware (เช่น อาคารเรียน) และด้าน software เช่น การจัดองค์กร ระเบียบข้อบังคับ มีการกำหนด “มาตรฐานครู” เป็นหลักของ “มาตรฐานการศึกษา”
การแข่งขันเป็นครูดีเด่น
เป็นการแข่งขันประจำปี ในทุกระดับ ได้แก่ระดับโรงเรียน อำเภอ จังหวัด และประเทศ ครูทุกคนต้องเข้าร่วม เพื่อคัดเลือกครูเข้าไปแข่งขันในระดับสูงขึ้นไป ในระดับโรงเรียน ประมาณร้อยละ ๖๐ ของครูได้รับการจัดเป็นครูดีเด่น ตัวเลขนี้ในระดับอำเภอคือร้อยละ ๓๐ แต่ในระดับจังหวัดและระดับประเทศเหลือไม่กี่คน วิธีการคัดเลือกทำโดยครูดีเด่นกับผู้บริหารการศึกษาเข้าไปสังเกตชั้นเรียน ตามเกณฑ์ที่รัฐบาลเวียดนามกับธนาคารโลกร่วมกันกำหนด ที่ในหนังสือระบุรายละเอียดมาก สรุปได้ว่า เป็นการประเมินการสอนให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก ที่ผมตีความว่า ยังคงเป็นการสอนแบบถ่ายทอดสาระอยู่ดี
เขาสรุปว่าการสอนเพื่อแข่งเป็นครูดีเด่น น่าจะเป็นการแสดงมากกว่าการสอนจริงๆ เน้นเพื่อชนะการประกวดมากกว่าเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียน
การประชุมวิชาชีพครู
ครูที่สอนชั้นเดียวกันเข้าร่วม “ประชุมครูวิชาชีพ” (PTM – Professional Teacher’s Meeting) ทุก ๒ สัปดาห์ โดยเข้าร่วมสังเกตชั้นเรียน ที่ครูคนหนึ่งสอนแบบเปิดชั้นเรียนให้ผู้อื่นเข้าสังเกต ทุกเดือนมีการประชุมครูทุกชั้นเรียนทั้งโรงเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเรียนรู้ เป้าหมายของการดำเนินการนี้มี ๒ เป้า คือ (๑) สร้างความสนิทสนมเป็นทีมงานในหมู่ครู (๒) เป็นโอกาสให้ผู้บริหารประเมินครู โดยให้เกรด ดีมาก ดี ปานกลาง และอ่อน ทำให้ครูรู้สึกว่าคล้ายๆ เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน ส่งผลให้วงสานเสวนากลายเป็นวงวิพากษ์ครูที่เปิดชั้นเรียน
เริ่ม LSLC
กิจกรรมต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น สร้างความสับสนแก่ครู ทั้งนโยบาย “ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” (LCE – Learner-centered Education) หลักสูตรใหม่ และวิธีจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ ผลคือครูยังจัดการเรียนการสอนแบบให้เด็กท่องจำอย่างเดิม
เพื่อช่วยให้ครูเรียนรู้จากการปฏิบัติ โครงการความร่วมมือกับไจก้า นำ LSLC เข้าไปใช้ โดยให้ครูร่วมกันออกแบบบทเรียน (lesson design) ร่วมกันเข้าสังเกตการณ์การเปิดชั้นเรียน (open class) ร่วมกันสะท้อนคิดว่านักเรียนได้เรียนรู้อย่างไรบ้าง และร่วมกันออกแบบบทเรียนใหม่
ก่อนเริ่ม LSLC มี TPM อยู่แล้ว โดยครูติดวัฒนธรรมการประเมินครูและการแข่งขันกันเป็นครูดีเด่น จึงเน้นวิพากษ์ครูที่เปิดชั้นเรียน ทำให้บรรยากาศตึงเครียด ไม่เป็นระบบนิเวศเพื่อการเรียนรู้ของครู โครงการ LSLC จึงเข้าไปปรับจุดจ้องมองของครูที่เข้าสังเกตชั้นเรียน จากเดิมจ้องสังเกตครู ให้เปลี่ยนไปจ้องสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน
กรณีศึกษา
ความเห็นเรื่องการสังเกตชั้นเรียน ของครูผู้เปิดชั้นเรียน
ครู น ในปี 2005
ครู น สอนภาษา เรื่องการสะกดและออกเสียงคำ ดูจากรูป น่าจะเป็นเด็ก ป. ๑ ห้องเรียนจัดเป็นแถวหันหน้าไปทางหน้าห้อง นักเรียนอยู่ในสภาพเป็นระเบียบเรียบร้อย มีรองครูใหญ่คนหนึ่งนั่งสังเกตอยู่หลังห้อง เพื่อให้คะแนนประเมิน นักเรียนปฏิบัติตามคำสั่งของครูเป็นอย่างดี และรวดเร็ว (บางครั้งลนลาน) คนไหนไม่ตั้งใจเรียน ครูจะเตือน บางครั้งครูฟาดไม้บรรทัดกับโต๊ะ เพื่อเรียกความสนใจของนักเรียน
ฝึกวินัยแก่นักเรียน
ครู น สะท้อนคิดการเรียนของนักเรียน แก่ผู้เขียนว่า ตนเน้นวินัยในชั้นเรียน สื่อให้เห็นว่าในชั้นเรียนแบบนี้ ไม่เน้นปฏิสัมพันธ์เพื่อการเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นไปตามขั้นตอนที่ครูกำหนด เมื่อครูถามและเพื่อนตอบ นักเรียนต้องฟังเพื่อเตรียมตัวว่าเมื่อถึงคิวตนเป็นผู้ตอบ จะตอบว่าอย่างไร
ผมตีความว่า เป็นการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง
เมื่อผู้เขียนเสวนากับครู น โดยร่วมกันดูวิดีทัศน์ที่บันทึกเหตุการณ์ในห้องเรียน พบวิธีคิดที่แตกต่างกัน โดยครู น เน้นที่ความตั้งใจทำกิจกรรมของนักเรียน แต่ผู้เขียนต้องการรู้ว่านักเรียนได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนนั้น ครู น ตีความท่าทางของนักเรียนว่ากำลังคิดอย่างจริงจัง แต่ผู้เขียนตีความว่า นักเรียนเครียด
ผมตีความว่า เมื่อผู้สังเกตชั้นเรียน เอาวิดีทัศน์มาดูร่วมกันกับครูผู้เปิดชั้นเรียน และเสวนาตีความแต่ละเหตุการณ์ร่วมกัน ต้องตกลงกันก่อนว่า ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ และเป็นขั้นตอนของการเรียนรู้และพัฒนา ไม่ใช่เพื่อการตัดสินถูก-ผิด ดี-ไม่ดี เราต้องการเรียนรู้เชิงลึก จากความเห็นต่างนั้น
ครูที่ถูกสังเกต ตั้งข้อสังเกตประเมินตนเอง
น่าสนใจมาก ที่การเสวนาแบบเปิดใจระหว่างครู น กับผู้เขียน นำสู่การที่ ครู น ตั้งคำถามต่ออารมณ์และพฤติกรรมของตนเอง โดยผู้เขียนตั้งคำถามว่า สีหน้านักเรียนบอกอะไร ที่ครู น ตั้งคำถามกลับว่านักเรียนแสดงสีหน้าเบื่อ (bore) ใช่ไหม เมื่อผู้เขียนตอบว่าเป็นสีหน้าที่ไร้จุดหมาย (blank) นำสู่การสารภาพของครู น. ว่าครูมักออกคำสั่ง ทำให้นักเรียนกลัว และต้นเหตุคือครูกลัวว่าจะถูกตำหนิหรือวิพากษ์
ผู้เขียนบอกว่า ระบบนิเวศเชิงสังคมการเมืองรอบตัวครู ทำให้ครู น ได้รับสัญญาณเน้นมาตรฐาน ไม่ใช่สัญญาณที่เน้นการเรียนรู้ของนักเรียน
การเรียนรู้ที่แท้ ไม่ใช่การแสดง
ครู ม ในปี 2006
เป็นการเปิดชั้นเรียนวิชา “วิทยาศาสตร์และสังคม” ชั้น ป. ๓ ตอน “หน้าที่ของกระดูก” สำหรับเป็นตัวอย่างการออกแบบบทเรียน ดูจากรูป การจัดโต๊ะนั่งของนักเรียนจัดเป็นกลุ่ม สะท้อนแนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน (collaborative learning)
ครูและนักเรียนพูดกันแบบสนทนากัน นักเรียนพูดออกมาจากใจ ไม่ใช่พูดตามที่คาดว่าครูต้องการคำตอบอะไร โดยครูให้นักเรียนจัดทีมเรียนด้วยการทดลองที่ใช้ดินเหนียวกับไม้ตะเกียบ โดยครูกำหนดว่า เมื่อนักเรียนได้ทดลองแทงดินเหนียวด้วยไม้เกียบก็จะเข้าใจหน้าที่ของกระดูก ผลคือ มีทั้งกลุ่มที่ดำเนินกิจกรรมได้ดี กับกลุ่มที่ตื่นเต้นเสียจนลืมไปว่าจะต้องทำอะไร เพื่อเรียนรู้อะไร
สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ที่สะท้อนการเรียนรู้ที่แท้
หลังมีประสบการณ์กับ LSLC เป็นเวลา ๑ ปี ครู ม สะท้อนคิดกับผู้เขียนโดยมีวิดีทัศน์บันทึกเหตุการณ์ในห้องเรียนประกอบ ว่า ตนมีมุมมองต่อห้องเรียนเปลี่ยนไป คือเดิมตนมองห้องเรียนแบบรวมๆ (as a mass) แต่หลัง ๑ ปี ตนจ้องมองนักเรียนเป็นรายคน (as individual) เพราะตระหนักว่า นักเรียนแต่ละคนต่างกัน
คำว่า “การเรียนรู้ที่แท้” (real learning) มาจากครู ม เอง จากการเสวนากับผู้เขียนผ่านการดูบันทึกวิดีทัศน์พฤติกรรมของนักเรียนร่วมกัน ตอนที่ครู ม บอกนักเรียนให้คลำหากระดูกในร่างกายของตน นักเรียนทำตาม แต่ไม่มีเวลาตรวจสอบกระดูกและคุยกับเพื่อนๆ เพื่อเรียนรู้เพิ่มขึ้น ในตอนสอนครู ม ไม่ได้ตระหนักในความต้องการของนักเรียน แต่เมื่อมาดูวิดีทัศน์ในตอนนี้ ก็ได้ตระหนักว่าตนไม่ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนเกิด “การเรียนรู้ที่แท้” เพราะตนมัวเร่งรัดเพื่อให้เสร็จทันเวลา
เมื่อเข้าใจหลักการ “การเรียนรู้ที่แท้” ครู ม ก็เปลี่ยนวิธีสังเกตห้องเรียน ดังที่สังเกตในวิดีทัศน์ ที่เมื่อครูถามว่าจะเป็นอย่างไรหากคนไม่มีกระดูก ครู ม บอกว่า ดูจากท่าทีของนักเรียน ครูควรให้เวลานักเรียนพูดคุยปรึกษาหารือกันเพื่อทำความเข้าใจ ไม่ควรรีบรวบรัดจบกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เป็นไปตามแผนการสอน
การเตรียมแผนการสอน ในฐานะเครื่องมือทางสังคมวัฒนธรรม
การเสวนาระหว่างผู้เขียนกับครู ม นำสู่ประเด็น “การเมืองระดับจุลภาค” ที่แผนการสอนก่อให้เกิดขึ้น จากการเสวนากัน ครู ม เกิดความตระหนักว่า แผนการสอนควรเป็นเครื่องมือหรือตัวช่วย ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่แท้ ไม่ใช่ตัวกำกับพฤติกรรมครูให้ไม่สามารถปรับกระบวนการให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเรียนรู้ของนักเรียนที่เกิดขึ้นจริง
อภิปราย
การเมืองระดับจุลภาค (micro-politics) ที่นำสู่ “ครูผู้ถูกจ้องมอง”
กรณีตัวอย่างครู น และครู ม นำสู่ความเข้าใจว่าครูของเวียดนามเป็น “ครูผู้ถูกจ้องมอง” (teacher being watched) เพื่อการประเมิน ที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมการบริหารการศึกษา รวมทั้งการแข่งขันเป็นครูดีเด่น ครูจึงปฏิบัติการสอนเพื่อสนองมาตรฐานหลักสูตร และสนองเกณฑ์การประเมินครู (ที่จัดทำโดยธนาคารโลกร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการเวียดนาม) เป็นการทำ คิด พูด เพื่อสนอง หรือเอาใจผู้มีอำนาจ ดังกรณีครู น พูดกับผู้เขียน มีผลให้ครูละเลยความเอาใจใส่ และละเลยการกระทำที่สนองพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนตามที่เกิดขึ้นจริงในห้องเรียน
ผลของ LSLC ต่อเครื่องมือด้านสังคม-วัฒนธรรมสำหรับการสังเกตชั้นเรียน
LSLC สามารถเป็นเครื่องช่วยเปลี่ยนการเมืองระดับจุลภาคของการประเมินครู โดยการเปลี่ยนหลักการด้านสังคม-วัฒนธรรมของแผนการสอน ใน ๒ บริบท
การเมืองระดับจุลภาคของ “ครูผู้ถูกจ้องมอง”
สำหรับ “ครูผู้ถูกจ้องมอง” ชั้นเรียนที่ประสบความสำเร็จคือชั้นเรียนที่เป็นที่พอใจของผู้สังเกตหรือผู้จ้องมอง ที่ส่งผลให้ความเอาใจใส่ต่อการเรียนรู้ของนักเรียนมีน้อย เวทีเสวนาหลังสังเกตชั้นเรียนที่เกิดขึ้น ไม่ช่วยแก้ไขการเมืองระดับจุลภาคนี้ ดังกรณีของครู น ที่การเข้าร่วมกิจกรรม LSLC อย่างสม่ำเสมอตลอดปี ไม่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของครู น เลย ครู น ไม่ได้เรียนรู้จาก LSLC
โครงการร่วมมือขององค์การระหว่างประเทศอาจตกอยู่ใต้มายาคตินี้ คือครูให้ความร่วมมือแก่โครงการ เพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จตาม “เป้าหมายและแผน” ที่วางไว้ ไม่ใช่โครงการให้ความร่วมมือแก่ครู เพื่อให้ครูบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่ของความเป็นครู คือหนุนให้ศิษย์เกิด “การเรียนรู้ที่แท้”
คำถามสำคัญคือ นักเรียนได้ประโยชน์อะไรจากระบบประเมินครู และระบบแข่งขันรับรางวัลครูดีเด่น ที่นักเรียนกลายเป็นเครื่องมือของการประเมินครู แทนที่การประเมินครูจะเป็นเครื่องมือหนุน “การเรียนรู้ที่แท้” ของนักเรียน
วิจารณ์ พานิช
๑๑ ก.ย. ๖๖
ไม่มีความเห็น