หน้าแรก
สมาชิก
"คนเมืองน้ำดำ"
สมุด
รวมสารพัดเรื่องรา...
"ครู ป.กศ"
"คนเมืองน้ำดำ"
นาย ทรงศักดิ์ ภูเก้าแก้ว
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
"ครู ป.กศ"
“ครู ป.กศ”
* หลักสูตรประกาศนียบัตรทางการศึกษา (ปก.ศ.)
* หลักสูตรประกาศนียบัตรทางศึกษาชั้นสูง (ปก.ศ. สูง)
- ของวิทยาลัยครู หรือราชภัฏในปัจจุบัน ที่คุณครูสมัยก่อนส่วนใหญ่จะจบกัน มความเป็นมาและมีการยกเลิกไปตั้งแต่เมื่อไร..
- พ.ศ. 2519 สภาการฝึกหัดครูประกาศใช้หลักสูตรการฝึกหัดครูฉบับใหม่
ยกเลิกหลักสูตร ป.กศ. จัดการศึกษา 2 ระดับ คือ
- ระดับประกาศนียบัตรชั้นสูง (ปกศ.สูง)
- ระดับปริญญาตรี ผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี
ได้วุฒิครุศาสตรบัณฑิต (ค.บ.)
* เมื่อประเทศไทยได้จัดการศึกษาในระบบโรงเรียน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งผลิตครู จากหนังสือ “อดีตการฝึกหัดครู” จากหนังสือ “๑๑๑ ปีกระทรวงศึกษาธิการ ๑ เมษายน ๒๕๔๖ “ กล่าวไว้ว่า ….
- “เมื่อเป็นดังนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะฝึกครูให้สามารถสอนได้อย่างมีคุณภาพ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ จึงมีพระดำริที่จะให้มีโรงเรียน ฝึกหัดอาจารย์ขึ้น แต่ต้องย้ายไปเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเสียก่อน และมี
เจ้าพระยาภาสกรวงศ์
เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการต่อมา
- โดยในวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ โปรดให้ตั้งโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ขึ้น เป็นโรงเรียนหลวงประเภทไป-มา โดยใช้สถานที่โรงเลี้ยงเด็ก ถนนบำรุงเมือง ซึ่งต่อมาคือ
“โรงเรียนสายสวลี สัณฐาคาร หรือ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ”
และมี
นายเอช. กรีน.รอด ชาวอังกฤษ
เป็นอาจารย์ใหญ่
- ในครั้งนั้น มีนักเรียนอยู่ ๓ คน คือ
นายนกยูง วิเศษกุล
(พระยาสุรินทรราชา)
นายบุญรอด เสรษฐบุตร
(พระยาภิรมย์ภักดี) และ
สุ่ม
- ต่อมานายบุญรอดและนายสุ่มลาออกไป คงเหลือนายนกยูงแต่เพียงคนเดียว
- รุ่งขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ มีนักเรียนเพิ่มขึ้นอีก ๓ คน คือ
นายสนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี) นายสด ผลพันธิน (หลวงสังขวิทย์วิสุทธิ์) และนายเหม ผลพันธิน (พระยาโอวาทวรกิจ)
- นายนกยูงนั้นได้ลาออกไปเป็นครูเสียก่อน ที่จะเรียนจบหลักสูตร
- ปลายปี พ.ศ. ๒๔๓๘
นายสนั่นและนายสดสอบไล่ได้เป็นครูสอนภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ ส่วนนายเหมสอบไล่ได้เป็นครูภาษาไทย
ทั้ง ๓ คนนี้ เป็นชุดแรกที่ได้รับประกาศนียบัตรครูของ กรมศึกษาธิการ
- พ.ศ. ๒๔๓๘
นายเอช. กรีน.รอด ลาออกจากอาจารย์ใหญ่ นายอี ยัง เข้ารับต าแหน่งอาจารย์ใหญ่ แทน
โดยมี
นายสนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่
- ในปีเดียวกันนี้ทางการได้ส่ง
นายสนั่น นาย นกยูง นายเหลี่ยม นายโห้
ไปศึกษาวิชาครูที่ประเทศอังกฤษ และเมื่อ
นายอี ยัง ลาออก ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ จึง โปรดให้นายเอฟ ยีเทรส เป็นอาจารย์ใหญ่แทน
และดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่อยู่เป็นเวลานาน ๒๐ ปี
- พ.ศ. ๒๔๔๕ ย้ายโรงเรียนไปอยู่
ตึกแม้นนฤมิตร วัดเทพศิรินทราวาส เรียกว่า โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ เทพศิรินทร์
ได้ย้ายสถานที่ และเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายคือ
วิทยาลัยครูพระนคร หรือสถาบัน ราชภัฏพระนคร
ในปัจจุบันซึ่งเป็น
วิทยาลัยครูแห่งแรกของประเทศไทย
-
พ.ศ. ๒๔๔๖ ตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่
โรงเรียนราชวิทยาลัยเก่า (บ้านสมเด็จเจ้าพระยา)
ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนศึกษานารี) เรียกว่า
โรงเรียนฝึกหัดครู ฝั่งตะวันตก
รับนักเรียนต่างจังหวัด เป็นโรงเรียน กิน-นอน โดยมีเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย โรงเรียนนี้ผลิตครูมูลศึกษา (จบออกไปสอนชั้นมูลศึกษา) ๒
- พ.ศ. ๒๔๔๙
โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ย้ายมารวมกับโรงเรียนฝึกหัดครู
ฝั่งตะวันตก รับนักเรียนทั้งใน กรุงเทพฯ และหัวเมือง โดยให้ทุกคนอยู่ประจำ รับนักเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิมและให้เรียกว่า
“โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์”
นับเป็นโรงเรียนระดับอุดมศึกษา เพราะรับผู้ที่จบชั้นมัธยมบริบูรณ์แล้วเข้ามาเรียน - พ.ศ. ๒๔๕๑ ให้ ยกเว้น
การเกณฑ์ทหาร
สำหรับนักเรียนโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์และโรงเรียนราชแพทยาลัย กิจการของโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ได้เจริญขึ้นตามลำดับ
- พ.ศ. ๒๔๕๖ ขยายการสอนการฝึกหัดครูให้สูงขึ้นถึงระดับครูมัธยมโดยรับนักเรียนที่ได้รับประกาศนียบัตร ครูประถม หรือผู้ที่จบชั้นมัธยมสามัญบริบูรณ์ - ๒๙ กันยายน ๒๔๙๗ ประกาศตั้ง “กรมการฝึกหัดครู” เพื่อทำหน้าที่ผลิตครูที่ยังขาดวิทยฐานะครูให้มีวุฒิทางครู และผู้ที่มีวุฒิทางครูได้รับวุฒิสูงขึ้น
- ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ มีการประกาศใช้
“พระราชบัญญัติวิทยาลัยครู พ.ศ. ๒๕๑๘”
กำหนดหน้าที่ ๕ ประการ คือ
- ผลิตครูถึงระดับปริญญาตรี ค้นคว้า ศึกษาวิจัย ฝึกอบรมบุคลากรทางการศึกษาประจำการ ทำนุ บำรุง ส่งเสริม และพัฒนาวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้บริการวิชาการแก่ชุมชน
- พ.ศ. ๒๕๒๗ รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่าง
พระราชบัญญัติวิทยาลัยครู (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๗ แก้ไข เพิ่มเติม พ.ร.บ. วิทยาลัยครู พ.ศ. ๒๕๑๘
กำหนดให้วิทยาลัยครูเป็นสถาบันการศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ ให้การศึกษาวิชาการในสาขาวิชาต่าง ๆ สามารถผลิตบัณฑิตเพิ่มจาก
สายศึกษาศาสตร์ (ค.บ.) อีก ๒ สาย คือ สายวิทยาศาสตร์ (วท.บ.) และสายศิลปศาสตร์ (ศศ.บ.)
รวม ๓ สายในหลายโปรแกรมวิชา ตามความต้องการ ของท้องถิ่นได้อย่างกว้างขวาง แต่คนทั่วไปยังคิดว่า
"วิทยาลัยครูผลิตบัณฑิตเฉพาะสายครูเท่านั้น
บัณฑิตจาก วิทยาลัยครูจะต้องประกอบวิชาชีพครูอย่างเดียว
-
จุดนี้จึงทำห้ผู้ที่จบการศึกษาใน
สายวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) และสายศิลปศาสตรบัณฑิต (ศศ.บ.)
ขาดโอกาสในการได้งานทำ
- ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานที่ได้ขยายตัวไป และสอดคล้องกับความเป็นสากล เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และเพื่อประโยชน์ต่อนักศึกษาในสถาบันของกรมการฝึกหัดครู จึงขอ พระราชทานนามวิทยาลัยครูใหม่แทนชื่อ
“วิทยาลัยครู”
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า
“สถาบันราชภัฏ”
เมื่อวันที่
๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๕
-
คำว่า
“ราชภัฏ”
แปลว่า
ข้าราชบริพารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
- จากภารกิจที่เปลี่ยนแปลงและการได้รับพระราชทานชื่อเป็น
“สถาบันราชภัฏ”
การมีปณิธานที่จะทำหน้าที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น - จึงได้ขอแก้ไขพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู เปลี่ยนเป็น
พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พ.ศ. ๒๕๓๘
มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่
๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘
เป็นผลให้
วิทยาลัยครูทั่วประเทศ ๓๖ แห่ง กลายเป็นสถาบันราชภัฏ ๓๖ แห่ง ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ๖ แห่ง ..
.
- พ.ศ. ๒๕๔๗ มีการประกาศใช้
“พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ”
ส่งผลให้ “
สถาบันราชภัฏ”
กลายเป็น
“มหาวิทยาลัยราชภัฎ”
ในปัจจุบัน
* ท่านผู้อ่านครับ ในสมัยก่อน การศึกษาภาคบังคับของเราคือชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนก็มีไม่มาก ยิ่งโรงเรียนมัธยมศึกษานั้นจะมีเฉพาะในตัวจังหวัด หรือตามอำเภอใหญ่ ๆเท่านั้น โอกาสทางการศึกษาของนักเรียนทั่วไปมีน้อยนัก นักเรียนที่ จะเรียนต่อได้ ต้องเข้าองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ หัวดี ใจสู้ และครอบครัวต้องมีฐานะพอสมควรที่จะส่งเสียได้ แต่ก็มีนักเรียนหลายคนที่ขาดองค์ประกอบด้านที่สาม แต่ด้วยความเข้มข้นของข้อ ๒ คือ “ใจสู้” ก็ สามารถเดินไปถึงจุดหมายแห่งความสำเร็จได้เหมือนกัน
- เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่มีข้อจำกัดเรื่องการเรียนต่อสายสามัญ ก็ต้องเบนเข็มมา
สายอาชีพ คือ อาชีวศึกษา หรือ สายครู ๓ สายอาชีพ
- นักเรียนที่มีความถนัดทางด้านนี้ก็จะมุ่งไปเรียนที่
โรงเรียนการช่าง โรงเรียนเกษตรกรรม
ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่ผลิตกำลังคนด้านวิชาชีพ เรียนกัน ๓ ปีจะได้วุฒิ ม.ศ. ๖ ซึ่งเทียบได้กับ ประกาศ นียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในปัจจุบัน
- สายครู นักเรียนที่ต้องการเรียนครู ก็มีทางเลือกที่จะสอบเข้าเรียน ป.กศ. ที่วิทยาลัยครูซึ่งตั้งอยู่ ในจังหวัดใหญ่ ๆ เรียน ๓ ปี ได้ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา สามารถออกมาสอบบรรจุเป็นครูได้เลย บางคนจบ ป.กศ.แล้ว อายุยังไม่ครบ ๑๘ ปี ไม่สามารถสอบเข้ารับราชการได้ หรือต้องการเรียนต่อ ในระดับที่สูงขั้น ก็เรียนต่อ ป.กศ.สูง อีก ๒ ปี ได้รับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง ซึ่งเทียบได้กับ อนุปริญญา แล้วออกไปสอบบรรจุเข้ารับราชการ หรือจะเรียนต่อ
ระดับปริญญา คือ เรียนหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.)
ก็ต้องไปสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียนที่
“วิทยาลัยวิชาการศึกษา (มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ : ชื่อย่อว่า “มศว” )
จบมาได้วุฒิปริญญาตรี แล้วจึงค่อยมาสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู
-สมัยนั้นประเทศไทยกำลังขยายโอกาสทางการศึกษา จึงต้องการครูมากเป็นพิเศษ สถาบันผลิตครูหลัก คือ วิทยาลัยครู และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงเร่งผลิตครูเป็นการใหญ่ มีการเปิดภาค่ำ ที่เรียกว่า
“ทไวไลท์”
ทำให้เกิดความนิยมเรียนครูกันมาก แม้แต่ข้าราชการสายอื่น ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ตำรวจ ก็ยังสมัครเข้าเรียนเพื่อเพิ่มวุฒิทางการศึกษา ทหารตำรวจชั้นประทวนหลายคนก็ได้ปริญญาด้านการศึกษา นำไปเทียบหรือปรับวุฒิเป็นชั้นสัญญาบัตรมีตัวอย่าง ให้เห็นมากมาย
- นักศึกษาวิทยาลัยครูหลายคน เป็นนักเรียนเรียนเก่ง สมัยแรกๆนั้น มีการคัดเลือกนักเรียนที่เป็น หัวกระทิสอบได้ที่ ๑ ที่ ๒ ของจังหวัด ส่งไปเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา แล้วกลับมา เป็นครู
- หลายๆท่าน ได้รับความสำเร็จในชีวิตราชการ ได้เป็นอธิบดี ปลัดกระทรวง อธิการบดี กันมากมาย ในยุคต่อมาก็ยังคงมีนักเรียนเก่งๆ เป็นลูกชาวไร่ชาวนา หรือชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ที่พ่อแม่ไม่สามารถส่งให้เรียนมหาวิทยาลัยได้ ก็ใช้เส้นทางจากการเรียนวิทยาลัยครูไล่เลาะไปหาความสำเร็จอีกจำนวนไม่น้อย โดยการเรียนให้จบ ป.กศ. แล้วสอบบรรจุเป็นครู ระหว่างเป็นครู สมัครเรียนหลักสูตร
ประกาศนียบัตรครูพิเศษมัธยม (พ.ม.)
ซึ่งเป็นการศึกษาทางไกลรูปแบบการศึกษาคล้าย ๆ กับ
รามคำาแหง หรือ มสธ
. ในปัจจุบัน ถึงเวลาก็ไปสอบที่ตัวจังหวัด ซึ่งมีเงื่อนไข
ต้องสอบได้ ๔ ชุด
ครูเก่งๆ บางคนใช้เวลาเพียง ๑ ปี ก็สอบพ.ม.ได้ นำมาปรับวุฒิ (ซึ่งวุฒิ พ.ม. เงินเดือนได้สูงกว่า ป.กศ.สูง ๒ ขั้น)
- ได้ พ.ม.แล้ว สอบเรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่เรียกว่า
"เรียน กศ.บ. ภาคค่ำ
ที่
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ใช้เวลาเรียน ๒ ปี เศษ ก็จบปริญญาตรี หรือจะลาศึกษาต่อภาคปกติก็ได้
- ครูปริญญาตรีสมัยเมื่อสามสี่สิบกว่าปีที่ผ่านไปนั้น ในอำเภอหรือจังหวัดแทบจะนับตัวได้ จึงนับว่าเป็น
“คนดัง โก้หรู"
ในวงการศึกษา หลายๆท่านได้อาศัยเงินเดือนครู ทำงานไป เรียนไป จนจบปริญญาโท ปริญญาเอก พร้อมทั้งพัฒนาตนเอง มาเป็นศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารโรงเรียน ผู้บริหารการศึกษา มาเป็นศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรืออธิการ อธิการบดี เลขาธิการ ฯลฯ
-ในสาย ผู้สอนหลายท่านเป็น ครูที่มีวิทยฐานะเชี่ยวชาญ เชี่ยวชาญพิเศษ เทียบกับข้าราชการพลเรือนระดับ ๙ ระดับ ๑๐ สมัยก่อน ซึ่งท่านเหล่านั้นได้สร้างคุณประโยชน์ต่อวงการศึกษามากมาย …นั้นคือ
เส้นทางการศึกษาของครู ซึ่งปัจจุบันนับอายุก็ใกล้หรือเกินกว่าห้าสิบปีไปแล้ว ซึ่งถ้าไม่บันทึก เอาไว้ก็คงจะเลือนหายไป"…
*ครู ป.กศ. -
แหวนเพชร วงทอง
เขียนใน
GotoKnow
โดย
"คนเมืองน้ำดำ"
ใน
รวมสารพัดเรื่องราว และ นานาสาระ
คำสำคัญ (Tags):
#"ครู ป.กศ"
หมายเลขบันทึก: 716125
เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2023 04:21 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2023 01:45 น. (
)
สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
หน้าแรก
สมาชิก
"คนเมืองน้ำดำ"
สมุด
รวมสารพัดเรื่องรา...
"ครู ป.กศ"
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท