“Take Side” เมื่อเกิดการเมืองในองค์กร เราจะเลือกข้างใคร?


หัวหน้าผมคนหนึ่งบอกว่า ถ้าถึงคราวที่จะต้อง Take Side ข้างใดข้างหนึ่ง ควรจะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่ควรที่จะครึ่ง ๆ กลาง ๆ คำแนะนำนี้ก็เชื่อถือไม่ได้ เพราะเป็นคำแนะนำของคนที่เป็นหัวหน้า แล้วอย่างไรจึงจะดีที่สุด? ผมว่าบางครั้งการปล่อยให้กระแสมันกลืนกินไปบ้าง แต่จิตใจของเรายังคงมีอุดมการณ์ที่ยึดมั่นอยู่ มันอาจจะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด อย่าโกหกตัวเองเลยว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถฝืนกระแสสังคมที่เกิดขึ้นได้ วาทะที่ว่า “ทวนกระแสสิแน่จริง” นั้น มันมีอยู่แค่ภายในหนังสือนิยายจีน แต่การเชื่อมั่นวิธีการคิดอย่างสมเหตุสมผลของตนเอง โดยไม่ไปแสดงปฏิกิริยาให้เสียจริต นั่นเป็นสิ่งที่ถือได้ว่า เรามีศิลปะการใช้ชีวิตอย่างไม่เสียอุดมการณ์

“Take Side” 

เมื่อเกิดการเมืองในองค์กร เราจะเลือกข้างใคร?

 

        ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมบางครั้งคนเราจึงต้องทำอะไรไปตามกระแสสังคม อย่างเช่นในเรื่องของการเมือง คนที่อยู่ในโลกแห่งประชาธิปไตยก็มักจะต้องยอมรับลัทธิตั้งแต่แรกเกิด โดยที่เขาไม่มีสิทธิเลือก และไม่มีสิทธิได้รู้เลยว่า แก่นแท้ของสังคมนิยมนั้น มันดีอย่างไร

        ภายใต้สังคมนิยมก็เช่นกัน พวกคอมมิวนิสต์จะรู้หรือไม่ว่าในระบอบประชาธิปไตยก็มีอะไรที่ดี ที่แตกต่างไปจากสิ่งที่ได้รับการปลูกฝังให้มีทัศนคติที่เลวร้ายต่อลัทธิตรงข้ามมาโดยตลอด

        เหมือนกับเรื่องที่ผมจะพูดต่อไป คือ เรื่องการเลือกเข้าขั้วใดขั้วหนึ่งภายใต้สถานการณ์ที่แตกเป็นขั้วภายในองค์กร 

        ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับเรื่องของการเมืองที่ผมเกริ่นนำไปข้างต้น หลายต่อหลายครั้งที่เกิดขั้วในที่ทำงานของเรา การรักษาตัวรอดเป็นยอดดี มักจะสอนให้เรารู้จักการ Take Side ขั้วที่คิดว่า น่าจะได้เปรียบอีกขั้วหนึ่ง มันเป็นเรื่องสัญชาตญาณของมนุษย์ที่มักจะละเลยเรื่องของอุดมคติไปชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อให้ชีวิตการทำงานของตนเองผ่านวิกฤตการณ์นั้น ๆ ไปได้

        ความต้องการการอยู่รอด มักทำให้ชีวิตคนเราลืมการใช้สติปัญญาในการคิดถึงความมีเหตุผล และความถูกต้อง เหมือนกับการที่เราเลือกลัทธิการปกครอง เราจำยอม เพราะคนส่วนใหญ่จำยอม ทั้ง ๆ ที่บางครั้งใจมันอาจจะไม่จำยอมไปด้วย แต่ก็เพียงเพื่อความอยู่รอด

        สำหรับผู้ที่เอาตัวรอดในองค์กรเป็น ก็จะเข้าใจถึงจิตใจของขั้วอำนาจ คือ ผู้ที่เป็นหัวหน้า และก็จะเข้าใจดีว่านิสัยที่หยั่งรากลึกของหัวหน้าอย่างหนึ่งก็คือ ความต้องการในการยอมรับ การที่ลูกน้องต่างซูฮกในฐานะที่ตนเองเป็นผู้ที่มีความสามารถในการกำกับดูแลองค์กร นั่นแหละคือ ความภาคภูมิใจที่อยู่ลึก ๆ

ทำไมผู้ที่ฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ไม่สามารถอยู่ได้ในสังคมประชาธิปไตย และรางวัลที่ได้รับ มักจะเป็นการถูกจองจำ หรือการเป็นบุคคลต้องห้ามในแผ่นดิน

คำตอบ อาจใช้บริบทของเรื่องขั้วในที่ทำงานตอบแทนได้!!!!!

        ก็เพราะว่าไม่มีใครที่อยากถูกโดดเดี่ยวจากคนหมู่มาก ที่สามารถเป็นเครื่องพิพากษาทางสังคมได้ตลอดเวลา คนเราจึงมักยอมเป็นคนหมู่มาก มากกว่าเป็นคนที่ถูกโดดเดี่ยว

        หัวหน้าผมคนหนึ่งบอกว่า ถ้าถึงคราวที่จะต้อง Take Side ข้างใดข้างหนึ่ง ควรจะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่ควรที่จะครึ่ง ๆ กลาง ๆ 

คำแนะนำนี้ก็เชื่อถือไม่ได้ เพราะเป็นคำแนะนำของคนที่เป็นหัวหน้า

        แล้วอย่างไรจึงจะดีที่สุด?  ผมว่าบางครั้งการปล่อยให้กระแสมันกลืนกินไปบ้าง แต่จิตใจของเรายังคงมีอุดมการณ์ที่ยึดมั่นอยู่ มันอาจจะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด

อย่าโกหกตัวเองเลยว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถฝืนกระแสสังคมที่เกิดขึ้นได้ วาทะที่ว่า “ทวนกระแสสิแน่จริง” นั้น มันมีอยู่แค่ภายในหนังสือนิยายจีน แต่การเชื่อมั่นวิธีการคิดอย่างสมเหตุสมผลของตนเอง โดยไม่ไปแสดงปฏิกิริยาให้เสียจริต นั่นเป็นสิ่งที่ถือได้ว่า เรามีศิลปะการใช้ชีวิตอย่างไม่เสียอุดมการณ์

        เพื่อนของผมเล่าให้ฟังว่า เขาเคยมอบกายถวายหัวให้กับคนที่เป็นหัวหน้าอย่างสุดชีวิตมาแล้ว แต่ผลที่ได้รับคือ ชีวิตของเขาก็เป็นแค่หมากเบี้ยในชั้นเชิงทางการเมืองอันแหลมคมของหัวหน้า ผลสุดท้ายก็คือ เจ็บ และก็.....เจ็บ และไม่สามารถตัดสินได้ว่าตนเองนั้นโง่หรือฉลาด จากการตัดสินใจเลือกข้างของตนเอง

แต่ผมก็ได้ช่วยตัดสินให้กับเพื่อนผมไปแล้ว “เอ็งมันโง่จริง ๆ ว่ะ” เป็นประโยคที่เค้นออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ เพราะผมเห็นมาตลอดว่าชีวิตของเพื่อนผมแทบจะถูกกลืนกินไปกับหัวหน้าของมัน

ก็เพราะบทเรียนจากชีวิตของเพื่อนผมคนนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมคิดว่าการวางชีวิตในอุดมคติ อย่าง Neutral พร้อมกับการรักษาสมดุลในการอยู่สังคมของความเป็นจริง ที่อาจจะต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามกระแสบ้าง มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดร้ายแรงนัก

เพราะสิ่งที่ผิดมากกว่า ก็คือ การหลงใหลในลัทธิใด แล้วเราไม่รู้แก่นสารของลัทธินั้นได้ดีอย่างลึกซึ้ง เหมือนกับการเป็นแค่เพียงเครื่องมือในการจัดการของคนที่เป็นหัวหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองถูกหลอก....อย่างนี้มันจะยิ่งเจ็บมากกว่า

ทุกวันนี้ ผมลืมการนำอุดมการณ์ไปใช้ในชีวิตจริงอย่างสุดขั้ว เหมือนสมัยตอนที่ผมเป็นนักศึกษาไปหมดแล้วล่ะครับ....

 

หมายเหตุ เป็นงานที่เขียนสมัยทำงานที่หนังสือพิมพ์คู่แข่งรายวัน ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Home Room เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2539 หน้า D1 หนังสือพิมพ์คู่แข่งปิดกิจการตอนสมัยวิกฤติต้นยำกุ้ง ปี 2540 และเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตผมในเรื่องงานไม่น้อย แต่งานเขียนนี้ ผมเชื่อว่าไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยมาเกือบ ๆ 30 ปีแล้วก็ตาม ปรากฏการณ์การเลือกข้างในสถานการณ์ที่องค์กรมีปัญหาการเมือง เกิดภาวะการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย คนทำงานก็ยังคง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ตลอด” ไม่ว่าจะ “อดีต” “ปัจจุบัน” หรือ “อนาคต”

หมายเลขบันทึก: 715705เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2023 07:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 ตุลาคม 2023 12:56 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เห็นเยอะค่ะ คนที่ไม่พูดจาให้ผิดใจใคร

ทั้งชีวิตการทำงานไม่เคยแสดงความคิดเห็นอะไรให้เกิดประโยชน์ ก็ได้ดีค่ะ

ขอบคุณครับ คุณแก้ว อารมณ์ในการเขียนตอนนั้น (พ.ศ. 2539) จำความรู้สึกได้ดีเลยครับ เป็นการเขียนประชดประชันกับบรรยากาศทางการเมืองภายในองค์กรของหนังสือพิมพ์ที่ผมทำงานอยู่ ด้วยความที่ยังเป็นเด็กน้อยในตอนนั้น ก็เกิดอารมณ์น้อยใจหัวหน้างาน ก็เลยเขียนแบบเสียดสีเล็กน้อยครับ แต่ผลตอบกลับมาก็น่าจะตรงใจท่านผู้อ่านในขณะนั้นเหมือนกันครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท