สิ่งที่ค้างคาใจผมมาตลอดในระบบการเมืองไทยคือ ‘การห้ามไม่ให้นักธุรกิจหรือมีหุ้นในธุรกิจเป็นนักการเมือง เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน’ นัยว่าคนมีธุรกิจ หรือหุ้นในธุรกิจจะเข้าแสวงหาประโยชน์ หรือมีการช่อราษฎร์บังหลวง ก็เลยทำให้คนที่เคยเป็นนักธุรกิจและรวยแล้วที่ประสงค์จะเสนอตัวเข้าทำหน้าที่ทางการเมืองต้องโอนหุ้นให้คนอื่น หรือขายธุรกิจให้หมดก่อนค่อยเป็นนักการเมือง และสมัครรับเลือกตั้งได้
ซึ่งผมเห็นว่าเป็นความคิดที่บ้องตื้นมากที่สุด และจริงๆ แล้วมันเปิดช่องให้มีผลประโยชน์ทับซ้อนได้มากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะบริษัทที่เคยเป็นของผม แต่ตอนที่ผมเป็นนักการเมืองมันไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว
และจริงๆ แล้วทุกกิจการก็ควรมีสิทธิเท่ากันในการที่จะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจของใคร และถ้ามีการฮั้วประมูล หรือได้ธุรกิจมาอย่างไม่ถูกต้อง ก็ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกัน และผนวกว่าถ้าธุรกิจที่นักการเมืองเป็นเจ้าของก็ต้องได้รับโทษมากกว่าคนทั่วไป ครับ
ก่อนหน้าโน้นผมก็ได้แต่สังสัย และไม่ชอบใจหลักคิดนี้ จนกระทั่งนายทรัมป์ลงสมัครเป็นประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยไม่ต้องขายธุรกิจ หรือโอนหุ้นธุรกิจของตนให้คนอื่นก่อนค่อยเข้าสู่วงการเมืองได้ หลังจากศึกษาเรื่องนี้ดูก็พบว่าเขาไม่มีกฎหมายห้ามไว้เหมือนเรา
และหลังจากนั้นผมก็ศึกษาต่อไปว่ามีประเทศไหนบ้างที่ไม่ห้ามนักธุกิจ หรือคนที่มีหุ้นในธุรกิจเป็นนักการเมืองก็พบว่ามีหลายประเทศครับ นอกเหนือจากประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศเยอรมันนี ประเทศออสเตรเลีย และประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น แล้วประเทศเหล่านี้เขาทำอย่างไรจึงป้องกันการทุจริต หรือผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างนักการเมืองกับธุรกิจส่วนตนได้ ซึ่งพอได้ข้อสรุปดังนี้
แล้วผมก็เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจจนกระทั่ววันนี้ วันที่ได้ข่าวว่าจะมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมจึงอยากส่งความสึก และสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้มายังผู้ที่จะร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาล นักการเมือง และผู้เกี่ยวข้องทุกคน โปรดได้พิจารณาประเด็นนี้กันด้วยครับ
ขอบคุณครับ
สมาน อัศวภูมิ
25 กันยายน 2566
ไม่มีความเห็น