------------------------------------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------------------------------------
อยากกลับไปเจอเพื่อนๆ เพราะเคยไป “เทา-งามสัมพันธ์ครั้งที่ 24” ที่มหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นเจ้าภาพ ณ จังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์ โดยครั้งนั้นผมประทับใจเพื่อนๆ ในค่ายมากจนถึงมากที่สุด
ส่วนเหตุผลรองลงมาเป็นเรื่องการทำงาน กล่าวคือ ครั้งที่ 24 แผนของการทำงาน ส่วนใหญ่เจ้าภาพจะตระเตรียมไว้ให้ทั้งหมด สมาชิกค่ายแต่ละสถาบันแค่ลงมือทำตามแผนของเจ้าภาพ และปรับแก้ตามสถานการณ์ร่วมกัน
แต่ค่ายเทา-งามครั้งที่ 25 มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ เน้นให้นิสิตทุกๆ สถาบันได้มีส่วนร่วมในการออกแบบและวางแผนกิจกรรมร่วมกัน แบ่งกันเป็นเจ้าภาพในแต่ละด้านอย่างเสมอภาค
ผมมองว่า นี่คือความท้าทายใหม่ของการเรียนรู้ เป็นการแหวกแนวจากที่เคยเป็นมา ผมจึงอยากไปเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
---------------------------------------------------
--------------------------------------------------
ผมอยู่สายงานฝ่ายวิชาการ เจ้าภาพหลักฝ่ายนี้คือมหาวิทยาลัยบูรพาและมหาวิทยาลัยพะเยา
เดิมผมไม่ได้ถูกมอบหมายให้เป็นแกนหลักของ “มมส.” ที่ต้องประสานงานกับสถาบันต่างๆ แต่ทั้งนี้เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมจึงถูกมอบหมายให้ขยับมาช่วยเพื่อนที่เป็นแกนนำอีกคน คอยทำหน้าที่ประสานงานและอำนวยความสะดวกทุกๆ เรื่องต่อเพื่อนนิสิต เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ทั้งในเรื่องแนะแนวการศึกษา ซ่อมแซมต่อเติมลาน BBL จัดทำป้ายสำนวนสุภาษิต จัดฐานการเรียนรู้ เป็นต้น
อันที่จริง ผมรู้ตัวดีว่า ผมเป็นคนประเภทคิดช้า ประมวลผลคำพูดไม่เก่ง ติดตามงานไม่เก่ง เกรงใจคนอื่น ชอบทำงานตามแผนที่วางไว้ จนบางทีกลายเป็นความล่าช้าและไม่ยืดหยุ่น แต่โชคดีที่ได้ “พี่พนัส” (พนัส ปรีวาสนา) คอยให้คำปรึกษา เตือนสติ และเตือนความจำเป็นระยะๆ รวมถึงคอยกระตุ้นให้คิดและกล้าที่จะแก้ปัญหา จนช่วยให้ผมเข้าใจกระบวนการทำงานมากกว่าที่ผ่านมา
รวมถึงกล้าที่จะคิดนอกกรอบและยืดหยุ่นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรือแม้แต่การเสียสละเวลาจากกิจกรรมบางอย่าง เพื่อมาขับเคลื่อนกิจกรรมของฝ่ายตัวเองไม่ให้สะดุด
---------------------------------------------
---------------------------------------------
ค่ายนี้ช่วยให้สัมผัสถึงรสชาติชีวิตที่หลากหลาย อย่างแรกเลย คือได้เรียนรู้มิตรภาพจากผู้คน ผมอาจจะดูวุ่นๆ กับการเตรียมการและอำนวยความสะดวกในฝ่ายวิชาการ ซึ่งมันก็ไม่ได้ดีและตรงใจทุกคนแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่โชคดีที่ผมมีเพื่อนต่างสถาบันที่เคยร่วมงานด้วยกันในครั้งที่ 24 พวกเราสนิทกันมาก แต่ละคนเป็นคนที่มองโลกในมุมบวก คอยเป็นห่วง คอยให้กำลังใจและคอยช่วยเหลือผมอยู่ตลอด
ยิ่งมีการปรับแผนในทุกๆ วัน ผมยิ่งต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้น ประชุมกว่าจะเสร็จก็ทำงานต่อจนดึกดื่น นอนก็น้อย พอเช้ามาเพื่อนไม่เจอตัวก็โทรตามให้มากินข้าว บ้างโทรสอบถามด้วยความเป็นห่วง บ้างโทรมาให้คำแนะนำ ซึ่งทั้งหมดนี้มันทำให้หัวใจของผมพองโตเอามากๆ
ประเด็นถัดมาคือการได้เรียนรู้การทำงานจากพี่ๆ ในกลุ่มงานกิจกรรมนิสิตที่พยายามสอนให้เรารู้จักการทำงานที่มีแบบแผน มีการยืดหยุ่น สอนวิธีการพูดกับใครหลายๆ คน เพื่อให้คนอื่นเข้าใจงานและเข้าใจตัวเราให้ได้มากที่สุด สอนการมีมารยาทและความรอบคอบในการทำงาน สอนให้มีแผน 1 แผน 2 สอนให้คาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการสังเกตนิสิตจากสถาบันอื่นๆ ว่ามีวัฒนธรรมทำงานอย่างไร แล้วเลือกสิ่งที่ดีมาปรับใช้กับตัวเอง
--------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------------------
1.ทักษะการด้านการสื่อสาร ผมได้ฝึกฝนทักษะนี้อย่างชัดเจนผ่านการมอบหมายหน้าที่ การบอกเล่าข้อมูลต่อสมาชิกในฝ่ายอย่างถูกต้อง ครอบคลุมและเป็นปัจจุบัน เพื่อให้สมาชิกรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ตรงกัน จะได้ทำงานได้อย่างเป็นทีม แม้มีปัญหาก็สามารถช่วยกันแก้ไขร่วมกันได้ และการตระหนักถึงเรื่องมารยาทการสื่อสารตามระบบที่ “ไม่ข้ามหน้า-ข้ามตา”
2.ทักษะความอดทนอดกลั้น ยอมรับเลยจริงๆ ว่าค่ายนี้มีทั้งความเครียด ความกดดันจากหลายๆ อย่าง แต่ผ่านมาได้เพราะการช่วยเหลือจากเพื่อนจากพี่และตัวเองที่เปิดรับอย่างไม่มีอคติ อดทนและรับฟังทุกคนอยู่เสมอ
3.ทักษะการปรับตัวเข้ากับสังคม เป็นอีกทักษะที่ฝึกให้ได้ใช้ชีวิตและทำงานร่วมกับผู้อื่น มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี รู้จักปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง มีความรักความจริงใจและให้ความร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
4.ทักษะการเป็นผู้นำ โดยเฉพาะเรื่องความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การเป็นผู้ประสานงานที่ดีและทำงานอย่างเป็นทีม ยิ่งค่ายนี้เป็นการเรียนรู้ร่วมกับ “ผู้นำ” จากสถาบันต่างๆ อีก 5 สถาบัน ยิ่งถือเป็นโอกาสอันดีกับการเรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเองผ่านความเป็นพหุวัฒนธรรมของแต่ละสถาบัน ถึงแม้ว่า บางครั้งอาจไม่เข้าใจกัน แต่สุดท้ายก็เข้าใจกัน เพราะต่างรับฟังกันและกันด้วยเหตุด้วยผล
--------------------------------------------------------------------
ค่ายครั้งนี้ทำให้ผมได้กลับมาคิดทบทวนตัวเองเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องการทำงาน การเรียน การใช้ชีวิตกับเพื่อน เป็นต้นว่า การวางแผนการทำงาน การเรียน การปรับแผนตามสถานการณ์จริง รวมถึงแนวคิดที่ว่า เมื่อเราเลือกที่จะทำอะไรสักอย่างแล้ว ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ถึงที่สุด แม้งานจะออกมาไม่ดีก็ต้องยอมรับ –
ยอมรับแล้วเอาสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุงแก้ไข ทั้งต่อตัวเรา ต่องาน ต่อเพื่อน ต่อสมาชิกในองค์กร
หรือแม้แต่การปล่อยวางกับเรื่องแย่ๆ และคนแย่ๆ ที่คอยเอาเปรียบเราแล้วรวบรวมพลังเดินหน้าไปตามวิถีของเราอย่างมีสติ
*ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
รองประธานชมรมรุ่นสัมพันธ์ คนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
-สวัสดีครับอาจารย์-บรรยากาศของชาวค่ายก็ยังอบอวลไปด้วยความสุขใจนะครับ-สิ่งที่ได้มากมายประสบการณ์ชีวิต-วิชาชีวิต…เดี๋ยวนี้ผมมักจะใช้บ่อยๆ กับผู้ที่ได้ร่วมสนทนากันครับ-เรียนรู้ เพื่อพัฒนาตัวเราเองยังคงจำเป็น-ด้วยความระลึกถึงอาจารย์อยู่เสมอครับ