ร้อนนี้ที่หลวงพระบาง


ฉันมีโอกาสสัมผัสหลวงพระบางทุกฤดูเลย ฝน-หนาว-ร้อน เดินทางคนเดียวบ้าง ซื้อทัวร์บ้าง และมากับกลุ่มเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะมาฤดูไหน มากับใคร รูปแบบไหน...หลวงพระบางยังมีเสน่ห์มิวาย

แพลนด่วนๆว่าหลังที่น้องแอ้ Progress เรื่องงานวิชาการ เราจะไปขับรถเที่ยวกันตัวแอ้อยากไปเมืองเฟือง  แต่ด้วยความอากาศร้อนต้นเดือนเมษายน คงไม่รอด ไปหาความสบายกันเถอะ จึงปักหมุดไปหลวงพระบางอีกครั้ง   ฉันเพิ่งไปตอนปีใหม่ห่างกันไม่ถึง 4 เดือนดี

เรา 4 คน มีพี่ก้อย กับพี่แม้วร่วมทริปด้วย ขอลาชั่วโมงช่วงบ่าย 3 ออกเดินทางจากขอนแก่นไปนอนที่เวียงจันทน์ ข้ามด่านหนองคายกันตอนค่ำเลย  แต่สบายใจเพราะนัดรถสกายแล้ปมารับ

สิ่งสำคัญในการผ่านแดน การตรวจคนเข้าและออกเมืองต้องใช้ Passport และแว่นตา!!!

ผ่านตม.มาก็แลกเงินตามระเบียบ และซื้อซิมเปลี่ยน มีฉันคนเดียวซื้อซิมลาวแบบโทรได้+Net 4 วัน 99 บาท ในขณะที่ 3 สาวซื้อเน็ตต่างประเทศจากค่ายมือถือของไทย…เอาจริงฉันชอบสัญญานเครือข่ายของลาวนะแรงดี

ก่อนเข้าที่พักก็แวะไปประตูชัย ไปดูสีสันของไฟกลางคืนและน้ำพุเต้นระบำ  น่าเสียดายที่เราไปถึงค่ำ น้ำพุเลิกทำการตั้งแต่ 1 ทุ่มแล้ว 

เราพักกันที่แถวๆ ถนนคนเดิน Sunbeam Hotel ค่ะ ที่พักเยอะ ของกิน ของช้อปก็เยอะ 

ที่พักของเรามี 4 ชั้นแต่ไม่มีลิฟต์ เชคอินตอนเกือบ 2 ทุ่ม แต่ที่พักดูเหมือนจะมีปัญหา ยังแจ้งห้องเราไม่ได้ เราเลยออกไปหาข้าวกินก่อน...เราได้ข้าวต้มค่ะ อยู่ๆ แถวๆศูนย์อาหารวันวาน  เป็นศูนย์รวมวัยรุ่นค่ะ รวมถึงคนลาวที่มาซื้ออยู่ซื้อกิน และมากสุดก็จะเป็นนักท่องเที่ยว

หลังกินข้าวตกลงกันว่าจะลงเงินกองกลางคนละเท่าไหร่ และแผนการท่องเที่ยวเป็นอย่างไร

เหรัญญิกทำหน้าที่หนักในการนับเงิน และการจ่ายเงิน  ถือเงินเป็นล้าน (กีบ)

กินข้าวเสร็จก็ไปเดินดูบรรยากาศร้านขายของริมโขงกัน คนลาวนิยมมาพักผ่อนกัน ทั้งหนุ่มสาวและครอบครัว

Sunbeam ที่พักเราอยู่ใกล้วัดค่ะ ห้องพักเรานี่เปิดประตูออกไปเห็นวิววัดองค์ตื้อเลย  (Temple View) ช่วงมกราคมฉันมาคนเดียวฉันเดินจนปรุแล้ว เช้านี้เลยขออนุญาตขอตื่นสายๆ หน่อย พี่แม้ว Rommate แกตื่นเช้าค่ะ ออกไปเลาะเมืองไหว้พระ หาเฝอกิน ตั้งแต่เช้าเลย

วันนี้เรานัดกัน 9 โมงเช้า มาแบบสบายๆ พี่แม้วสวนกลับมาอาบน้ำฉันก็จะออกไปกินข้าวเช้า เลยรู้ว่าแอ้กับพี่ก้อยยังไม่ไปไหน  จึงออกไปพร้อมกัน เราเลือกกินแนว Street food ค่ะ 

 

กินกันที่แผงอาหารข้างทางเลยค่ะ  ได้ฟิลดี มีปากหม้อ กาแฟร้อน และเดินไปซื้อข้าวจี่ หรือบาเก็ตยัดไส้มาเพิ่ม อร่อยมาก...มาที่ลาวต้องจัดนะคะ 

ข้าวจี่ปาเต๊ะเครื่องแน่น นัวด้วยตับบด ราคาประมาณ 70 กว่าบาท ตัดแบ่ง 4 ชิ้น กินจุกๆ

ส่วนของทานเล่นนี้คือเผือกทอด เป็นเผือกผสมหมูบดและสามเกลอ  คล้ายเผือกทอดของ MK แต่ไม่กรอบเท่า อร่อยค่ะ กินแบบลืมอ้วนไปเลย

รถสามล้อเครื่องมารับเราจากพี่พักพร้อมกระเป๋าไปชมหอพระแก้ว และวัดสีสะเกด เราไม่ปักหมุดที่วัดธาตุหลวงเลยค่ะ เพราะอากาศร้อนแดดจ้ามาก  ค่อยมาใหม่ตอนอากาศดีๆ ดีกว่า จากเช้านี้เราได้ชื่อทริปว่า  หอยทากทัวร์  เพราะเราตกลงจะทำโปรแกรมทัวร์แบบเบาๆ เหนื่อยก็พัก

วัด 2 วัดในเช้านี้เราใช้เวลาตามสบาย  นั่งเล่นบ้าง เล่นถ่ายรูปบ้าง ไม่เร่งรีบ  

แล้ว 11.30 โมง  ความร้อนก็ทำให้เราโหยหาคาเฟ่ ระหว่างที่ที่มาวัดเราผ่านคาเฟ่สวยๆมากมาย ขอให้มีแอร์ เราให้รถพาไปนั่งเล่นที่ร้าน Coco&Co Vegan cafe (Vetgetalain Café)  ใกล้ๆ กับ Joma Cafe ร้านกาแฟชื่อดัง…คนค่อนข้่งเยอะ เราเลือกร้านนี้เพราะแต่งร้านสวย บางคนกินกาแฟ แต่เรากินน้ำผลไม้ ที่มีทั้งแบบคั้นสดและปั่น พี่ก้อยบอก อโวกาโดที่เจ้มจ้น...สงสัยจะใส่มาเป็นลูก  

ผลไม้สดเนื้อแน่นๆ ปั่นเนื้อมาเป็นมูสเลย

เรายังไม่หิวข้าวกันเพราะบาเก็ตตอนเช้ามีความหนักท้องอยู่ เกือบบ่ายโมง เรามูฟไปสถานีรถไฟ มาก่อนเวลามาก เที่ยวรถออกเวลา 15.15 น.  แต่เรามาเร็วเพราะมารับตั๋วที่ฝากเอเจนซี่ซื้อ (ราคาตั๋วปกติ+ค่าบริการตั๋วละ 100 บาท) และเผื่อเวลาบางทีรถติดช่วงเข้าสถานีและผู้โดยสารมีจำนวนมาก  รอนานหิวหน่อยก็กินมาม่ารองท้อง  รถไฟมาตามเวลา เราก็ย้ายตัวเองจากเวียงจันทน์ ผ่านวังเวียง มุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง 

ตอนเย็น 5 โมงกว่าถึงสถานีหลวงพระบาง  

อั้นฉี่อึดอัดมานานแต่ห้องน้ำในอาคารผู้โดยสารชำรุด ต้องเดินฝ่าลานจอดรถลงไปใช้ข้างนอก และลิฟต์เสียทั้ง2 ตัว  ลากกระเป๋าลงบันไดไปท่ารถตู้สิคะ รุสึกถึงความไม่ค่อยสะดวกแต่ก็ได้อยู่  

ที่ลานจอดรถมีรถตู้จอดรอค่ะ ไม่เคยไปไม่เป็นไรเค้าจะเรียกเอา ซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถเลย เราใช้ระบบ Join ค่ะ จะเช่าเหมาเลยก็ได้นะคะ  ระบบรถตู้แบบรวม (่Join) จะทยอยส่งผู้โดยสารถึงเฮือนพักหรือจุดหมายเลยค่ะ  โดยส่งผู้โดยสารลงจากเส้นทางที่ถึงก่อนหลังเป็นหลัก ขากลับจะขอเบอร์โทรคนขับไว้นัดให้มารับ หรือให้เฮือนพักติดต่อให้ก็ได้ซึ่งจะมีค่าบริการเพิ่มขึ้นหัวละ 20-30 บาท (ประมาณนี้) ฉันชอบให้เฮือนพักติดต่อให้ จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ประกันว่าถ้ารถลืมมารับเราเรา เฮือนพักจะตามเค้ามารับเราได้

เราจองที่พักที่สายน้ำคานริเวอร์วิว (Saynamkhan River View) ด้านหน้าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวแวะมาชมวิวถ่ายรูปกัน

ก่อนออกเดินทางฉันแจ้งสมาชิกว่าลองหาที่พักที่อยากพักดู  ลองดูว่าใกล้ตลาดเช้าและถนนคนเดินไหม แบบที่ทุกคนเดินเล่นได้แบบอิสระ ซึ่งเราสามารถดูได้จากแมป หรือเอาชื่อที่พักมาค้นระยะทางที่ห่างแต่ละจุดได้ เพื่อความปักหมุดที่พักแบบไม่ให้ไร้ทิศทาง การจองที่พักนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะใช้เวลารีวิว เชคแมปหลายชั่วโมงทีเดียว 

ลิสต์รายชื่อที่พักได้ 2-3 แห่ง พี่ก้อยคอมเมนต์มาในไลน์ว่า สายน้ำคานริเวอร์วิว นี่พี่ก้อยก็ดูไว้อยู่ OK. จองเลยค่ะ  ถูกใจฉันเลย มาหลวงพระบางหลายครั้งได้พักที่พักหลากหลายสไตล์ก็สร้างบรรยากาศแปลกใหม่  มีครั้งนี้ที่ได้พักในตึกเก่าแบบโคโลเนียล สวย ตรงปก วิวดี เสียดายแต่สะพานไม้ข้ามแม่นำคานที่อยู่ด้านหน้าพังไป ไม่งั้นได้วิวหลัก 1.1 ล้าน

ฉันชอบวิวที่มองจากโรงแรมสายน้ำคานริเวอร์วิวนะคะ  เป็น River View ทั้งส่วนล๊อบบี้ หรือส่วนนั่งเล่นด้านหน้า และมองจากห้องพักก็เช่นกัน  ถ้านอนเปิดม่านจากเตียงนี่มองเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นเหนือสายน้ำคานด้วย 

เสียดายที่ช่วงเราไปนี่เป็นช่วงอากาศร้อน แถมมี PM 0.5 จากการเผาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรคลุ้งไปทั่ว  ทำให้การชมวิว Outdoor เป็นอะไรที่ไม่สุดค่ะ

ระหว่างเข้าที่พักก็มีพนักงานจากร้านอาหารฝั่งตรงข้ามมาแจกโปรโมชั่นของร้าน Dyen Sabai Restaurant and Bar (ร้านเย็นสบาย)  เครื่องดื่มเย็น Bye  1 Get 1 เลยทำให้เราไม่ต้องไปหาอาหารเย็นทานที่อื่น  ข้ามเรือมาทานที่นี่  ค่าเรือนี่ฟรีค่ะ  แต่ต้องจ่ายเงินสดก่อนแล้วเอาตราสแตมป์จากร้านมาขอคืนเงิน สมัยก่อนเดินข้ามสะพานไม้ค่ะแต่หน้าน้ำฤดูที่ผ่านมาสะพานได้พังไป  การข้ามด้วยเรือจึงเป็นทางเดียวที่ข้ามได้สะดวกจากหน้าที่พัก

หิวจัดๆ สั่งอาหารหนักๆ แต่สั่งเครื่องดื่มเบาๆ เดี๋ยวตกเรือ

อันนี้เรียกว่าเมี่ยงไค หรือเมี่ยงสาหร่าย  ของทานเล่น ของทานแกล้ม ใช้ไคแผ่นทอดห่อถั่วทอดและตะไคร้ซอย

ที่นี่วิวดีค่ะ แสงไฟตอนกลางคืนร้านตกแต่งได้สวยงาม อาหารอร่อย  แต่น่าแปลกใจเมนูไม่มีปลาแม่น้ำโขงมีแต่ปลานิล ร้านนี้จุดเด่นคือชิ้นดาด  หรือเนื้อย่างเกาหลี แต่พวกเราจัดอาหารพื้นเมืองกันค่ะ

ความมืดและตลิ่งสูงอาจจะเป็นข้อจำกัดสำหรับบางวัยนะคะ  แต่หอยทากทัวร์ก็กระดึบๆ ปีนตลิ่งจนได้

ข้อควรคำนึงค่ะ  ไปหน้าแล้ง น้ำลดมาก ตลิ่งจึงสูง  การขึ้นลงบันไดทั้งสองฝากจึงอาจจะเป็นปัญหาสำหรับบุคคลที่ข้อเข่าไม่ดี  และเป็นการลงเรือที่หากกินข้าวเสร็จดึกการลงเรืออาจจะลำบากสำหรับกลุ่มอายุบางกลุ่ม  

ใกล้กันนั้นมีร้าน Garden of Eden ขายเครื่อประดับที่ทำจากลูกปัดชนิดต่างๆ สวยมาก ร้านเค้ามีส่วน Workshop สอนทำเครื่องประดับด้วย  วิวดีมาก เป็นชานไม้ริมน้ำคาน มีกาแฟขายด้วย ยังคิดว่าถ้ามีเวลาเนิบช้ามากพอจะไปนั่งร้อยลูกปัดเล่น

เช้าวันรุ่งขึ้นเราเหมารถตู้ไปนอกมืองกัน  ให้ที่พักติดต่อรถให้ นัดรถให้มารับเวลา 10.30 น.  เช้านี้พี่แม้วกับพี่ก้อยไปตักบาตรเช้ากัน  เดินทางที่พักไปถนนหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง หรือ หอคำ เดินไม่ไกลคะ ประมาณ 700 เมตร ทั้งคู่ตักบาตรเสร็จไปเลาะตลาดเช้ากันต่อ วันนี้เราทานอาหารเช้าที่โรงแรมคนที่ไม่เคยมาจะได้รู้ว่าวัฒนธรรมการจัดอาหารเช้าโรงแรมในหลวงพระบางเป็นยังงัย  ABF ก็ปกติสากล สำหรับชุด AsiaSET จะเป็นข้าวต้ม ปาท่องโก๋ ชากาแฟ และผลไม้ ส่วนอาหารเช้าของคนหลวงพระบางเราอยู่อีกวันค่อยไปหากินตามอัธยาศัย 

ข้าวต้มไข่พะโล้หมูสามชั้น โรยหน้าด้วยปาท่องโก๋ฉีก เจอเกือบทุกเฮือนพัก และมีผลไม้รวมที่ตัดเสริฟมาเป็นคำๆ

อิ่มท้องก็เป็นหอยทากทัวร์ เตาะแตะๆๆ เดินเล่น  เลาะเมือง ชมอาคารแบบโคโลเนียล เอาจริงฉันไปหลายครั้งจริง เพิ่งได้มีเวลาเดินชิลชมตึกนี่หล่ะ มีทั้งอาคารเก่าและแบบรีโนเวทใหม่ สวยๆทั้งนั้น

นอกจากวัดแล้วร้านกาแฟ ร้านนั่งชิลน่านั่งมาก และที่สำคัญคนลาวอัธยาศัยไมตรีดีเยี่ยม

เดินผ่านวิถีผู้คน  ช้อปปิ้งของที่ระลึกพวกเครื่องประดับนี่ถูกใจเลย ผ่านร้านขนมบ้าบิ่นที่ย่างด้วยกาบมะพร้าว ที่พี่ก้อยชวนดู แต่ไม่สามารถชวนชิมได้ เพราะอิ่มกันมาก

เราตั้งใจจะไปกราบพระที่ไปวัดเชียงทอง ที่เป็น The Must ของหลวงพระบาง มาแล้วก็ต้องไป  ต่างชาติต้องเสียค่าเข้า

วัดเชียงทองเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลก และเป็นต้นแบบสถาปัตกรรมวัดล้านนาที่มีความงดงาม  ต้นแบบของศิลปะภาพเล่าเรื่องตกแต่งประดับด้วยกระจกสี ควรค่าในการไปเยี่ยมชม

ระหว่างนั้นก็แวะกราบพระวัดต่างๆซึ่งอยู่ระหว่างเส้นทาง ช่วงที่เราไปเป็นต้นเดือนเมษายน จะพบเห็นวัดแต่ละวัดทาสีโบสถ์ กำแพงวัดใหม่เพื่อเตรียมขึ้นปีใหม่  ซึ่งปีใหม่ของเมืองลาวตรงกับช่วงสงกรานต์บ้านเรา  

นับเป็นการได้เรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านไปด้วย  ฉันกับพี่แม้วก็ถือโอกาสถวายเงินเพื่อจัดน้ำปานะให้พระสงฆ์และจั่วน้อย (เณรน้อย) ในการทำงาน Outdoor เป็นการทำบุญเนื่องในวันสงกรานต์ไปด้วย

วัดในหลวงพระบางมีจำนวนมาก เดินไป 10 ก้าว 20 ก้าวก็เห็นวัดอีกแล้ว จากการผ่านไปมาฉันนับวัดในเขตเมืองได้ประมาณ 12 วัด  จริงๆ ไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่  แสดงให้เห็นความศรัทธาในศาสนาพุทธของคนลาว

10.30 น. รถตู้มาคอยแล้วในอัตราครึ่งวันไปน้ำตกตาดกวงสี  แวะรายทางได้ ในสนนราคา 1,300 บาท กลยุทธ์การขายบอกราคารถตุ๊กๆ 1000 บาท ต่างกัน 300 บาทเอ๊ง...ร้อนแบบนี้ต้องรถแอร์เท่านั้น หอยทากชอบความเย็นค่ะ จึงตัดสินใจเลือกรถตู้โดยง่าย

แวะกินข้าวเที่ยงที่เดิมที่เคยมาครั้งก่อนคือร้านสวนพูนสุก อยู่ก่อนถึงน้ำตกตาดกวงสีประมาณ 10 กม. (มั้ง) แอร์เย็น อาหารอร่อย มีส่วนกาแฟและเบอเกอรี่ด้วย ที่สำคัญยังมีวิวทุ่งนาให้ดู แม้จะเป็นหน้าแล้ง...คนลาวบอกแถวนี้ทำนา 2 ครั้งได้ 

เมนูมื้อเที่ยงเป็นอาหารพื้นบ้าน แต่เราว่าเค้าฟิวชั่นมานิดหน่อย  เช่น แกงหน่อไม้ใส่หมูสับ ลาบปลาคัง ปลา 3 รส  รสชาติอาหารจะอ่อนกว่ารสที่คนไทยคุ้นชิน แต่อร่อยมาก สายแม่ครัวก็ขออนุญาตลอกเมนู 

ปลาสามรสที่ใช้มะเขือเทศลูกเล็ก (มะเขือเครือ) ในการทำน้ำยำ ประเทศไทยเห็นเอามาแต่ตำส้มตำ

มาลาว 2 วันยังไม่ไ่ด้กินเบอเกอรี่เลย  ฝีมือคนลาวทำเบอเกอรี่อร่อยค่ะ…ขนาดร้านไม่หรู ร้านข้างทางยังอร่อยเลยค่ะ  อาจจะป็นเพราะเค้าได้สูตรได้วัฒนธรรมจากชาติตะวันตกมา เราเลยต้องจัดสักหน่อยพร้อมกาแฟสดเพื่อความเฟรช

อิ่มแล้วก็มาตาดกวงสี  ซื้อบัตรค่าเข้าชม รวมค่ารถกอล์ฟที่มาส่งที่ประตูทางเข้า  คราวนี้รถกอล์ฟไม่ยักส่งที่น้ำตกด้านบน จอดตรงประตู  ให้เราเดินผ่านส่วนอนุรักษ์หมีควายขึ้นไป อืมมห์ก็ดีนะคะ ได้เห็นมุมของการอนุรักษ์ของประเทศลาวด้วย

 

ตาดกวงสีวันนี้หนาแน่นทั้งคนลาวเองและนักท่องเที่ยว   ทางเดินค่อนข้างสบาย ต้นไม้ใหญ่ พันธุ์ไม้ต่างๆมีให้ชมมากมาย มีที่พักให้นั่งพักเป็นระยะ ข้างบนมีร้านขายน้ำและอาหาร

พวกเราเปลี่ยนชุดเล่นน้ำกันตั้งแต่สเตชั่นแรกที่เป็นชั้นต่ำสุด น้ำสีฟ้าอมเขียวชวนให้กระโดดลงเล่นน้ำ หวนคืนสู่วัยเยาว์ น้ำใสเย็นสบาย 

ทุกคนไปเปลี่ยนชุดที่ห้องน้ำ แต่ฉันเห็นคนและบันไดที่ชัน  ขออนุญาตล้อมผ้าเปลี่ยนชุดเล่นน้ำที่ลานพักผ่อน

คนเยอะจนต้องมี 1 คนเสียสละเฝ้าสมบัติ  พื้นน้ำตาดกวงสีบางช่วงเป็นหินปูน มีความคมค่ะ  ใช้รองเท้ายางแบบสวมลงน้ำจะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้ ลงน้ำได้สักพักฝนปรอย ไม่ได้กลัวฝนเพราะตัวเปียกอยู่แล้ว แต่กลัวมือถือและข้าวของเสียหาย

หอยทาก 4 ตัวกระดึบๆ แวะถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ขึ้นไปจนถึงจุดชมวิว  ซึ่งเป็นสะพานส้มที่มีฉากหลังเป็นม่านน้ำตกที่ใครๆต้องมาเชคอิน 

สะพานส้มคนเยอะมาก ปกติคนจะยืนที่สะพานและให้น้ำตกเป็นฉากหลัง รูปที่ถ่ายมาและพอใช้ได้จึงมีแต่รูปน้ำตก  ส่วนสะพานไม่สามารถถ่ายออกมาให้สวยได้ เพราะนางแบบแปลกหน้าเยอะมาก

ใกล้บ่าย 3 แล้วเราเดินลงมาจุดขึ้นรถราง  ถนนราดยาง เดินประมาณ 800 เมตร ก็ถึงประตูทางเข้า  รอรถกอล์ฟมารับที่ลานจอด 

ขากลับเข้าเมืองก็ให้รถตู้แวะฟาร์มควาย กินไอติมนมควาย  ส่วนในฟาร์มควายไม่ได้เข้าไปดู ที่เมืองไทยก็คุ้นเคยกันดี ผ่านปางช้างที่พี่แม้วอยากแวะ แต่พอใส่ชุดเล่นน้ำกลับแบบไม่เปลี่ยนชุด เราก็เมินปางช้างเพราะชุดไม่สวย มีความเปียก สู้ใครเขาไม่ได้ เลยไม่แวะ

ราคาไอติมใช้ได้เลยนะคะ ไม่ใช่ถูก…น้องคนขับรถบอกว่า ราคาของกินของใช้ในลาวขยับขึ้นจากช่วงปีใหม่มาก 

กลับเข้ามาถึงเมืองเกือบบ่าย 4.30 โมง  เป็นเวลาอิสระ นัดไปกินข้าวเย็นตอน 6 โมงเย็น แอ้อาบน้ำเสร็จเดินเล่นไปก่อน ไปรอที่ร้านเครื่องดื่ม ที่หลวงพระบางเดินเล่น นั่งชิลนี่ไปคนเดียวได้เลยค่ะ ไม่อันตราย หากันเจอง่าย

มากี่ครั้งเราก็ว่าร้านที่หลวงพระบางมีแต่ร้านสวยๆ  เสียแต่ตอนนี้เรื่องกลิ่นบุหรี่เยอะมาก ทั้งชาวตะวันตกที่ปล่อยควันสบายๆเวลานั่งที่ร้านชิล หรือคนจีนที่ปล่อยควันได้ทุกที่ ทำให้คนแพ้กลิ่นบุหรี่ไม่โอเค...หลวงพระบางไม่ค่อยใสแล้ว 

เย็นนี้เราช้อปปิ้งที่ตลาดกลางคืนและกินอาหารตามสั่งที่ลานรวมอาหารที่หัวมุมถนนคนเดิน  มีอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายประเภท BBQ เฝอ ช้าวซอย  จุดเด่นของที่นี่มีร้านอาหารมังสวิรัติให้เลือกทาน  สั่งเมนูแล้วจ่ายเงิน  นำอาหารมานั่งทานที่โต๊ะส่วนที่จัดไว้ให้  เหมือนตลาดโต้รุ่ง หรือศูนย์อาหาร

ขากลับแวะจิบเครื่องดื่มเย็นอีกสักร้าน  และแวะร้านนวด (ราคานวดเท้าถูกมาก…แบบ ก.ไก่ล้านตัวถ้าเทียบกับเมืองไทย 1 ชม. ไม่ถึง 200 บาท)  ดึกแล้วก็ได้กล่าวลา Good night กัน

เช้าวันสุดท้ายพี่แม้วกับพี่ก้อยแรงไม่ตกไปปีนพูสีชมวิว 360 องศา  ฉันกับน้องแอ้ยังไม่ถึงพูสีอีกเช่นเคย มัวแต่นอนแอ้งแม้ง บอกแล้วทริปของฉันไม่หนัก ออกมาแนวขี้เกียจ

ถนนเช้าๆ แถวๆหน้าพิพิธภัณฑ์คนน้อย  เดินเล่นๆมาตลาดกันค่ะ  

เรานัดเจอกันที่ตลาดหาของกินตามใจใครมัน  ฉันชวนแวะร้านกาแฟร้านประจำในตลาด น้องแอ้บ่นอยากกินเฝอ 

หาซื่้อของกินจากในตลาดมานั่งกินที่ร้านกาแฟได้…แต่ตามมรรยาทแล้วต้องอุดหนุนกาแฟเค้านะคะ ส่วนร้านกาแฟประชานิยมนั้นคนพลุกพล่านมากไป ฉันเลยไม่นิยม

จิบชากุหลาบหอมๆ กรองด้วยผลิตภัณฑ์จักสานพื้นบ้าน

น้องแอ้ได้กินเฝอสมใจซื้อจากร้านข้่างๆกัน  ส่วนฉันไปซื้อข้าวปุ้นคั่ว (ขนมจีนคั่ว) จากร้านท้ายตลาดมานั่งกิน

ข้าวปุ้นคั่ว 20 บาท  เมนูโปรด ไม่เคยเจอที่ประเทศไทย  เป็นของทานเล่นแต่อิ่มจริง

ณ ตลาดเช้านอกจากอิ่มท้องแล้ว ยังได้ชมตลาดและหาของช้อปปิ้ง  สายซื้อผ้าเป็นของฝาก  ในตลาดราคาถูกกว่าตลาดกลางคืนนะ  แต่อาจจะมีให้เลือกไม่มากนัก

อันนี้คือไกยี เป็นสาหร่ายน้ำจืด ชื่อ  ไก หรือ ไค เอามาตากแดดและยีให้ละเอียด มีส่วนประกอบที่สำคัญ   ได้แก่ ไกตากแห้ง กระเทียม เกลือป่น และงาขาว เป็นอาหารภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ทำแล้วเก็บไว้ได้นาน เอาไว้คลุกข้าวกินได้

ตัวต่ออ่อนย่าง  รังผึ้งย่างของพวกนี้มีขายมาก…มันคือความอุดมสมบูรณ์

เรานัดรถมารับที่โรงแรมเพื่อไปสถานีรถไฟเวลา 11.00 น. เผื่อเวลามากไปหน่อยเลยมาแกร่วรอที่สถานีรถไฟ...วัฒนธรรมที่นี่ก็แปลก ถ้ารถไฟรอบปัจจุบันยังไม่ออก ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารเที่ยวถัดไปเข้าไปในอาคารผู้โดยสาร ทั้งที่อาคารผู้โดยสารก็ใหญ่โต  เราเลยหาที่นั่งข้างนอกไปสิ  ที่นั่งก็ไม่มีเลยต้องนั่งตามพื้นไปหรือยืนรอ มาก่อนเวลาก็แล้วแต่เธอ ระบบการจัดการเค้าแปลกๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นวัฒนธรรมลาวหรือจีนกันแน่ 

และความกินข้าวเช้าไม่ได้กินข้าวเที่ยง และไม่มีอะไรรองท้อง เข้าใจว่าสถานีหลวงพระบางจะมีอะไรขายเหมือนสถานีเวียงจันทน์  ไม่มีจร๊า ไม่มีอะไรขายในอาคารผู้โดยสารเลย มีแต่ตู้กดน้ำร้อน ก็ต้องหิ้วท้องมากินที่เวียงจันทน์สิคะ

รถไฟพาเรามาถึงสถานีหลวงพระบางตอนบ่าย 3 กว่า ก็พากันข้ามด่าน  กินข้าวเย็นที่อุดรและก็กลับถึงขอนแก่นโดยสวัสดิภาพ

...จะได้ไปอีกไหมน๊าหลวงพระบาง...เสน่ห์ไม่จาง...จบทริป 4 วัน 3 คืนของหอยทากทัวร์ค่ะ

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 712861เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2023 01:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2023 10:30 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบคุณมากครับ สำหรับการเดินทางสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ยังสวยงามด้วยธรรมชาติ และจิตใจที่บริสุทธิ์และดีงาม จะคอยติดตามทริปต่อไป ที่ไม่ง้อทัวร์ และไม่ง้อ guidebook …วิโรจน์ ครับ

ขอบคุณท่านอาจารย์วิโรจน์ที่แวะมาอ่านให้กำลังใจนะคะ เมืองลาวยังงดงามด้วยวิถีผู้คนค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าพอรถไฟลาวจีนมา แน่นอนว่าความเจริญทางเศรษฐกิจมีแน่นอน แต่ไม่รุว่าจะกระทบต่อวัฒนธรรมประเพณีที่งดงามอย่างไรบ้าง มากน้อยเท่าไหร่…แม้จะเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงของโลก…ก็อดห่วงไม่ได้…เลยต้องรีบไปสัมผัสก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปค่ะ…หนูไปเอง เพราะหนูไม่มีเงินซื้อทัวร์ค่ะ…วันหลังไปด้วยกันได้นะคะ…

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท