ตอนเย็นย่ำค่ำวันที่ 2 มกราคม 2550 ผมยืนมองเขาอกทะลุสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งของพัทลุง จากหน้าบ้านคุณพ่อจะเป็นทุ่งนาเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตาเขาอกทะลุตั้งตระหง่านมองไปทางทิศเหนือเห็นรูทะลุอย่างชัดเจนและเป็นเวลาเย็นย่ำลมพัดเอื่อยๆเย็นๆสบายตัว ในความคิดที่จ้องมองภูเขาอกทะลุแล้วนึกถึงเมื่อ พ.ศ.2517 ณ ตรงจุดที่ยืนอยู่นี้ผมเคยชวนพี่ชายหรือที่ผมเรียกว่าพี่หลวงญาติผู้พี่ซึ่งเป็นลูกของป้าไปเที่ยวที่ตลาดในสี่กั๊กหรือตลาดในเมืองพัทลุง พี่หลวงปฏิเสธผมพร้อมกับคำตอบที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนักในตอนนั้นก็คือเขาบอกว่าอย่าไปเลย มวลชนมาก
พอทบทวนถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้นึกถึงเพลงๆหนึ่งที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ คือเพลงดอกไม้จะบาน เป็นเพลงที่โดนใจและผมจะร้องเพลงนี้เกือบทุกครั้งที่รู้สึกไม่สบายใจ ในบางครั้งก็เล่นกีตาร์ร้องให้ลูกสาวสองคนฟัง ตามด้วยเพลง ร้อยบุปผา ,แม้เราจะไม่พบกัน ,คิดถึงบ้าน(เดือนเพ็ญ). แม่......ฯลฯ
ดอกไม้ ดอกไม้จะบาน
บริสุทธิ์กล้าหาญจะบานในใจ
สีขาวหนุ่มสาวจะใฝ่
แน่วแน่แก้ไขจุดไฟศรัทธา
เรียนรู้ต่อสู้มายา
ก้าวไปข้างหน้าเข้าหามวลชน
ชีวิตอุทิศยอมตน
ฝ่าความสับสนเพื่อผลประชา
ดอกไม้บานให้คุณค่า
จงบานช้าๆแต่ว่ายั่งยืน
ที่นี่และที่อื่นๆ ดอกไม้สดชื่น
ยื่นให้มวลชน
เป็นเพลงที่ทำนองไพเราะ ความหมายงดงามกินใจ บ่งบอกยุคสมัย เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาและอุดมการณ์แม้ผมเองจะยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่งเนื้อร้องและทำนองแต่ทราบได้ถึงสิ่งที่ได้สื่อออกมาอย่างมีพลัง
และวันนี้เป็นอย่างไร ดอกไม้วันนี้เป็นอย่างไร มีใครหยิบยื่นดอกไม้ให้มวลชนกี่ดอก บ้านเมืองเรากำลังเกิดอะไรขึ้น ประชาชนต่อสู้กับใครอยู่ ศึกหลายด้านนัก พวกเรามีอาวุธอะไรจะไปต่อสู้
ยุคล่าอาณานิคมไทยเราเสียดินแดน ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เราชนะสงครามแบบไม่ชนะ ยุคสงครามเย็นคนไทยต้องแตกแยกกันทางอุดมการณ์ต่อสู้กันจนเลือดตกยางออกต้องล้มตายกันไปมากมายก่ายกอง ยุคโลกาภิวัฒน์เราแพ้สงครามจักรวรรดิทุนนิยมจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นบทเรียนที่อนุชนรุ่นหลังเราไม่ค่อยได้เรียนรู้กันอย่างลึกซึ้ง เป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่ขาดตอน
คนของเราจบมาจากเมืองนอกเมืองนามากมาย สุดท้ายมีนายเป็นฝรั่ง พูดจากับคนไทยด้วยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เป็นคนไทยที่พูดภาษาฝรั่งคำไทยคำ คนพวกนี้ตะวันตกชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้รวมหัวกันปล้นความผาสุกของชาติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับพวกนี้พยายามเสนอแนวทางชาตินิยม ก็โดนโจมตีว่าคลั่งชาติ ละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้าง ระบบเศรษกิจไม่เสรีบ้าง ระบบการเมืองการปกครองไม่เป็นประชาธิปไตยบ้าง ทำลายสิ่งแวดล้อมบ้างข้อกล่าวหาเยอะแยะ สุดแล้วแต่จะกดดันมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด มันเป็นสงครามแบบใหม่ที่แอบยึดประเทศ เราไม่รู้เท่าทันหรือก็ไม่น่าใช่
วันนี้เวลานี้เราต้องเร่งสร้างดอกไม้แห่งปัญญาเพื่อส่งมอบให้มวลชนให้มากที่สุดเพื่อทวงคืนประเทศไทย ผมไม่หวังว่าจะเบ่งบานในเร็ววันแต่ถ้าเริ่ม ณ วันนี้อีก 20-30 ปีจะเห็นผลและยั่งยืน ลูกหลานเราในอนาคตจะได้ไม่กล่าวโทษ ปัญหาที่เราคนไทยประสบอยู่ในขณะนี้ทุกๆปัญหาเป็นผลพวงที่สืบเนื่องกันมาในหลายช่วงเวลา เราปล่อยให้นักการเมืองขี้ฉ้อเล่นการมืองเป็นของเล่นมานานแล้ว เราปล่อยให้ข้าราชการเลวๆปล้นประชาชนตาดำมากต่อมาก เราปล่อยให้นักธุรกิจขี้โกงโกงชาติแบบหน้าด้านๆ ชาวนาเกษตรกรเหลือแต่ซากกระดูก ประชาชนชั้นล่างเดียวดาย ขาดที่พึ่ง
ชนชั้นในสังคมเกษตรกรรมมักมีความอดทนสูงมากแต่วันใดที่เขาเหล่านั้นที่อยู่อย่างทนอดและหมดความอดทน ความเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้นอย่างรุนแรงแน่นอน ผมเองอยากให้ดอกไม้บานในใจคนไทยทุกคน เป็นดอกไม้แห่งปัญญา เบ่งบานขึ้นทั่วประเทศ คนไทยในปัจจุบันจะได้ชื่นชมความงดงาม ลูกหลานในอนาคตคือกลิ่นหอมอันละไม บรรพบุรุษในอดีตจะได้ภูมิใจในความเหนื่อยยากที่ได้รักษาแผ่นดินนี้ไว้ได้จนถึงยุคสมัยของเรา และเราคือผู้ที่จะปกปักรักษาแผ่นดินสุวรรณภูมินี้ต่อไปเพื่อลูกเพื่อหลาน ฯ
แต่งขึ้นในปี พ.ศ.2516 โดย สาวน้อยดาวจุฬาฯ ผู้หนึ่ง ที่ชื่อว่า จิระนันท์ พิตรปรีชา หรือ สหายใบไม้ เพลงนี้แต่งก่อนเข้าป่า ถ้าอยากได้รายละเอียด ความรู้สึกของคนแต่ง ลองหาหนังสือ อีกหนึ่งฟางฝัน : บันทึกแรมทางของชีวิต หนังสือเล่มนี้ อ่านแล้ว ให้อะไรเยอะมาก อย่างน้อยก็ช่วยปลอบโยน คนที่เคยผ่านการต่อสู้เพื่อ มวลชน คนที่พยายามยืนอยู่ข้าง ความถูกต้อง และเรียกร้องในความไม่ชอบธรรม