การประชุมครั้งนี้มีองค์กรนิสิตเข้าร่วมมากกว่าครั้งแรก โดยเฉพาะในกลุ่มของชมรมต่าง ๆ และครั้งนี้ก็มีความชัดเจนในเรื่องรูปแบบของกิจกรรมมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นรูปเป็นร่างอย่างน่าชื่นชม
ที่สำคัญคือการประชุมครั้งนี้เป็นเวทีทางความคิดที่บรรดาผู้นำนิสิตได้ถกคิดและแลกเปลี่ยนทัศนะกันเอง โดยที่เราทำหน้าที่เป็นแต่เพียงที่ปรึกษา คอยสังเกตการณ์และให้คำปรึกษาอยู่อย่างห่าง ๆ
ทั้งนี้ ผมก็ยังยืนยันทำนองเดิมว่ากิจกรรมวันเด็กไม่ไช่กิจกรรมที่ซับซ้อนอะไรนัก เพียงแต่หลับตาจินตนาการกลับสู่วัยวันที่นิสิตเคยก๋ากั่นวิ่งเล่นอยู่ในงานวันเด็ก ชอบอะไร ! อยากได้อะไร ! ก็สามารถนำมาประยุกต์ หรือบูรณาการให้สอดรับ (ร่วมสมัย) กับสังคมของเด็กได้เลยทันที ซึ่งก็น่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่อยาก
แต่กระนั้น, ก็ต้องไม่พยายามยัดเยียดในสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ให้กับเด็ก โดยถึงแม้ว่าในความเป็นจริง เราต่างอาจจะจำยอมต่อวัฒนธรรมบริโภคนิยมไปบ้างแล้วก็ตาม และถึงแม้สังคมวันนี้จะเต็มไปด้วยศัตรูที่หลากหลายและลื่นไหลมากเพียงใด แต่ "เด็ก" ก็ยังเป็น "คนของความหวัง" หรือเป็น "คนของพรุ่งนี้" ของสังคมและประเทศชาติเสมอ !
ที่ประชุมของนิสิตมีมติเห็นชอบการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านสุขภาพ ด้านศิลปะ (ดนตรี ขับร้อง นาฏศิลป์ ทัศนศิลป์ วรรณศิลป์) ด้านสารสนเทศ ด้านกีฬา ด้านนันทนาการและเบ็ดเตล็ดเป็นต้น ซึ่งทั้งหมดก็อยู่ในภาพรวมในลักษณะ "บันเทิง - เริงปัญญา" ที่ครบครันไม่ด้อยไปกว่าที่ผ่านมา
หากแต่แตกต่างไปจากทุกครั้งก็ตรงที่ว่า มีการระดมความคิดแลกเปลี่ยนและร่วมกำหนดรูปแบบกันอย่างกว้างขวางในหมู่นิสิต รวมถึงการกล้าที่จะแหวกขนบเดิม ๆ ออกมา ไม่เน้นกิจกรรมที่ฟุ่มเฟือยและมอมเมา ทั้งทางความคิดและอื่น ๆ
นิสิตได้ถามผมว่า...."เห็นชอบด้วยหรือไม่ ?"
ผม, ตอบสั้น ๆ ตรง ๆ ว่า "ผมเห็นดีด้วยกับมติของนิสิต" !
เมื่อลองคิด ก็ควรลองลงมือทำตามวิถีคิดของตนเองดูบ้าง จะได้เกิดกระบวนการแห่งการเรียนรู้ที่ชัดเจน แต่ให้มั่นใจว่ามหาวิทยาลัยจะยังคอยช่วยเหลือและเฝ้าดูอยู่อย่างใกล้ชิด
.....
ผมขออนุญาตออกจากห้องประชุมเร็วกว่าปกติ เพียงเพราะต้องการให้นิสิตได้ถกคิดและหารือกันอย่างลึกซึ้ง (เป็นส่วนตัวมากขึ้น) แต่กระนั้นไม่นานนัก, ผู้นำองค์กรนิสิตก็ติดตามออกมาพูดคุยกับผมด้วยกังขาว่า เพราะเหตุใดผมและเจ้าหน้าที่จึงเห็นดีเห็นงามกับแนวคิดของนิสิตอย่างง่ายดาย โดยแทบจะไม่โต้แย้งอะไรเลย....
ผมไม่รู้จะบอกกล่าวเล่าความอันใดดีกับนิสิตเพื่อให้เขามั่นใจว่าเรายังคงปักหลักเป็นพี่เลี้ยงเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะยังไงเสีย "เวทีนี้ก็ยังคงต้องมีพี่เลี้ยง" อยู่ดี แต่ขณะนี้เพียงปรารถนา "อยากให้นิสิตได้ทำในสิ่งที่คิด และได้คิดในสิ่งที่อยากทำ" เท่านั้นเอง
.....
ก่อนนิสิตจะขออนุญาตกลับเข้าห้องประชุม ผมมองเห็นแววตาฉายฉานประกายความฝันและความมั่นใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนด้วยลายมืออันร้อนรนยื่นให้กับเขาไป และไม่รอที่จะดูว่านิสิตจะเปิดอ่านที่ไหน ? เวลาใด ?หรืออย่างไร...?
และแม้แต่ตอนนี้ เขาจะเปิดอ่านหรือยังผมก็ไม่รู้ ....
ผมรู้แต่เพียงว่าในกระดาษแผ่นเล็กแผ่นนั้น , ผมเขียนคำ 3 คำไว้ อันเป็นหัวใจหลักที่ผมอยากให้ผู้นำนิสิตในยุคนี้เรียนรู้และตระหนักไว้เสมอ นั่นก็คือ
กล้าคิด brave to think
กล้าทำ brave to take action
กล้ารับผิดชอบ brave to take responsibility
แต่สำหรับผมแล้ว. ผมกล้าที่จะให้เขาคิด กล้าที่จะให้เขาทำ และกล้าที่จะร่วมรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำ...
ร่วมสนับสนุนเวทีกิจกรรมของนิสิตนักศึกษาด้วยคนค่ะ
เมื่อลองคิด ก็ควรลองลงมือทำตามวิถีคิดของตนเองดูบ้าง จะได้เกิดกระบวนการแห่งการเรียนรู้ที่ชัดเจน แต่ให้มั่นใจว่ามหาวิทยาลัยจะยังคอยช่วยเหลือและเฝ้าดูอยู่อย่างใกล้ชิด
เป็นคำพูดที่ให้กำลังใจคนทำงานดีจังค่ะ "ไม่ทอดทิ้ง ให้มั่นใจ ยังไงจะคอยช่วยเหลือและเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด" ดิฉันมองว่าสิ่งนี้แหละที่เด็กและเยาวชนไทยต้องการ "กำลังใจ...จากความเข้าใจ"
ขอบคุณนะคะที่นำสิ่งดี ๆ มาให้ได้คิดเสมอ
สวัสดีครับคุณแผ่นดิน
ผมชอบประโยคที่คุณแผ่นดินทิ้งท้ายไว้ ว่ากล้าคิด ทำ และรับผิดชอบ
แม้สิ่งที่นิสิตนักศึกษาคิด และทำจะไม่ดี หรือไม่เหมือนอย่างที่ปรึกษาคิด แต่เขาได้คิดเอง ทำเอง เรียนรู้ และรับผิด รับชอบเอง นั่นมีคุณค่ากว่าการต้องมาทำตามสิ่งที่เราอยากให้เขาทำเป็นไหนๆ
ผมชอบที่คุณศุ บุญเลี้ยงเขียนไว้ใน "กบฏแกมกวน" ว่า เราล้วนมียุคสมัยของตนเอง ผมสังเกตว่าแต่ละรุ่นเมื่อถึงจุดหนึ่งที่พร้อมก็เริ่มมองรุ่นเด็กว่าไม่ดีเท่ารุ่นตัวเอง มองรุ่นใหญ่ว่าไม่เข้าใจ ก็วนอยู่แบบนี้ จึงเป็นเรื่องที่ดีที่เราสามารถปล่อยวางความคิดที่จะควบคุมรุ่นเด็ก และไม่ปล่อยให้แนวทางที่ผู้ใหญ่วางไว้มาขวางการริเริ่มนี้
สรุปแล้วทั้งนิสิตนักศึกษาและที่ปรึกษาก็กล้าทั้งสองฝ่ายครับ
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องดีๆ ครับ
อาจารย์ Vij