การจัดโครงการ “พิธีไหว้ครูชมรมรุ่นสัมพันธ์ ปีการศึกษา 2565” ของชมรมรุ่นสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 ณ ห้องประชุม 1 อาคารพัฒนานิสิต กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีประเด็นที่ผมอยากจะเขียนถึงอยู่บ้างเหมือนกัน
โครงการดังกล่าวนี้จัดขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์หลักๆ ที่ประกอบด้วย 1) เพื่อให้นิสิตได้ตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของอาจารย์ที่ปรึกษาองค์กร หรือที่ปรึกษาชมรมฯ 2) เพื่อเป็นการพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษาชมรม
ประเด็นแรก คือการแสดงความรักความเคารพ –ความกตัญญูต่ออาจารย์ที่ปรึกษาชมรม ซึ่งนับว่าสำคัญไม่ใช่ย่อย เพราะยึดโยงอยู่กับวิธีคิดตามครรลองวัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่เราเชื่อว่า “ศิษย์ได้ดี เพราะมีครู”
ทว่าครูในมิตินี้ ไม่ใช่ครูในวิชาชีพ-ในหลักสูตร หากแต่เป็นครูที่คอยให้คำปรึกษา แนะนำ และกำกับดูแลการดำเนินงานด้านกิจกรรมนอกหลักสูตรของนิสิต
ไม่เพียงเท่านั้น ยังหมายถึงการเป็นครูที่ต้องทำหน้าที่ “ยืมเงินทดรองจ่าย” ให้นิสิตไปจัดกิจกรรม ทั้งเพื่อการพัฒนานิสิตและการพัฒนาสังคม –
หรือเรียกรวมๆ ก็คือ ความเป็นครูมีทั้งที่ต้อง “รับผิด” และ “รับชอบ” ในทุกกระบวนความที่องค์กรได้ก่อให้เกิดขึ้นนั่นเอง
ส่วนประเด็นที่สอง ถึงแม้จะโปรยถ้อยคำว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนิสิตกับอาจารย์ที่ปรึกษา แต่จริงๆ ก็รวมความถึงการแลกเปลี่ยนระหว่างนิสิตกับนิสิต และระหว่างนิสิตกับรุ่นพี่- หรือแม้กระทั่งนิสิตกับศิษย์เก่าด้วยเช่นกัน
กระบวนการเช่นนี้ สะท้อนถึงการยืนยันว่า ความเป็นองค์กรนั้นมี “รากเหง้า” มี “องค์ความรู้” มี “พี่มีน้อง” มีระบบและกลไกการ “สอนงานสร้างทีม” เพียงแต่จะอยู่ในรูปแบบใด ย่อมขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละองค์กรเป็นสำคัญ
ทั้งสองประเด็น มองในภาพรวมๆ ก็เหมาะสมที่จะมีกิจกรรมในทำนองนี้ขึ้นในแต่ละปีการศึกษา เพียงแต่ต้องทำการบ้านให้มากขึ้นว่ารูปแบบกิจกรรมควรเน้นหนัก หรือให้ค่าน้ำหนักเช่นใด เพราะนอกเหนือจากการแสดงความเคารพรักต่ออาจารย์ที่ปรึกษาองค์กรแล้ว ประเด็นของการ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้” ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากน้อยอย่างไร –
ในมุมของผม ประเด็นนี้ควรต้องลงให้ลึก
โดยส่วนตัวแล้ว ผมอยากให้มีการต่อยอดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงลึกให้มากกว่าการพบปะให้โอวาทโดยอาจารย์ที่ปรึกษา หรือแม้แต่ศิษย์เก่าและรุ่นพี่ แล้วจบด้วยการล้อมวงรับประทานอาหารในแบบ “กินข้าวฮวมพา กินปลาฮวมปิ้ง”
ผมอยากเห็นเวทีการสะท้อนความคิดร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นมิติการเรียน การใช้ชีวิต การจัดกิจกรรม และนั่นอาจรวมถึงประเด็นทางสังคมที่นิสิตควรรับรู้และเรียนรู้ –
เช่นเดียวกับการเชิญศิษย์เก่ามาถ่ายทอดประสบการณ์เชิงลึกให้น้องนิสิตได้รับรู้ พร้อมๆ กับการบอกเล่าเรื่องราวในแต่ละยุคสมัยให้รุ่นน้องฟัง แล้วขมวดเป็นการเรียนรู้ หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน
อีกประเด็นที่ผมมองว่าควรหยิบจับขึ้นมาสื่อสารให้ชัดๆ ก็คือ การสะท้อนข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ของชมรมรุ่นสัมพันธ์ ทั้งในมิติการจัดตั้ง / ปรัชญา / กิจกรรม ฯลฯ เพราะนี่คือการประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกใหม่ได้เข้าใจในวัฒนธรรมของชมรม รวมถึงการชวนให้สมาชิกเดิมๆ ได้ร่วมทบทวนร่องรอยการเดินทางขององค์กรไปในตัว
กรณีดังกล่าว ผมมองว่านิสิตสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ อาทิเช่น นิทรรศการ แจกเอกสาร สไลด์ เวทีบอกเล่า เวทีเสวนา ถ่ายทอดผ่านบทเพลง ถ่ายทอดผ่านละคร หรืออื่นๆ ที่นิสิตสามารถออกแบบด้วยตนเอง โดยกระบวนการทั้งหมดไม่ใช่แค่ช่วยประชาสัมพันธ์องค์กรให้รู้จักในวงกว้างมากขึ้น แต่ยังหมายถึงการช่วยให้คณะกรรมการบริหารชมรมได้ทบทวนตัวเองว่ารู้จักองค์กรของตนเองมากน้อยแค่ไหน
ถ้าทำได้ กระบวนการที่ว่านั้นย่อมหมายถึงการ SWOT ตัวตนขององค์กรด้วยเช่นกัน
ท้ายที่สุดนี้ ผมยืนยันว่า โครงการ “พิธีไหว้ครูชมรมรุ่นสัมพันธ์” เป็นกิจกรรมอันดีงาม ทรงคุณค่าและควรต่อการสืบสานไว้อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่อยากชวนให้นิสิตลองยกระดับกิจกรรมให้เด่นชัดมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมก็เข้าใจว่าสองปีที่ประสบกับโควิด ทำให้สายธารการเรียนรู้บางอย่างเจือจางและหล่นหาย-ไปบ้าง นิสิตแกนนำจึงอาจปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ยากพอตัว
กระนั้น่ก็คงไม่สายเกินไป หากจะลองทบทวนอีกรอบ
ในทำนองเดียวกัน ในส่วนของมหาวิทยาลัย ก็คงต้องทบทวนตัวเองเกี่ยวกับระบบของการดุแลอาจารย์ที่ปรึกษาองค์กรนิสิตให้เป็นรูปธรรมด้วยเช่นกัน จะมีวิธีการหนุนเสริม หรือเชิดชูอย่างไรบ้าง ตรงนี้ก็จำต้องหยิบจับมาพิจารณาใหม่อย่างเร่งด่วน
ผมยืนยันว่า โครงการดังกล่าว เป็นกิจกรรมอันดีงาม – อะไรที่ดีอยู่แล้วก็ควรต้องสานต่อ อะไรที่พอจะปรับแต่งยกระดับได้ก็ต้องเปิดใจที่จะปั้นแต่ง-ขยายผล
ส่วนที่นิสิตแกนนำที่ขับเคลื่อนโครงการนี้ ผมไม่กังขาเลยว่า พวกเขาได้เริ่มเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างบ้างแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องทักษะทางสังคม (Soft skills) เช่น ทักษะการบริหารโครงการ – บริหารงาน-บริหารคน ทักษะของการออกแบบ ทักษะการลื่อสารสร้างสรรค์ ทักษะการประสานงาน ทักษะในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทักษะของการอยู่ร่วมกันในสังคม ทักษะของการทำงานในบริบทสถานการณ์จริงที่ต้องปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่น ฯลฯ
เพียงแต่นิสิตแต่ละคน ใครจะตกผลึกช้า หรือเร็วไปกว่ากันเท่านั้นเอง เพราะแต่ละคนต่างมีต้นทุนที่ต่างกัน
ชื่นชม – และให้กำลังใจ นะครับ
……………………………………….
เรื่อง : พนัส ปรีวาสนา
ภาพ : ชมรมรุ่นสัมพันธ์
ไม่มีความเห็น