ก่อนนี้ใครครอบครองปัจจัย 4 คือ “อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค” จะเป็นผู้มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนอื่น แต่ปัจจุบันนี้คนที่รวยที่สุดและมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนเศรษฐกิจของโลกกลับไม่ใช่ปัจจัย 4 ดังกล่าว แต่เป็น “สิ่งที่ไร้ตัวตนที่มีแกนร่วมคือการสื่อสารรของคน” ซึ่งพัฒนามาจากยุคสังคมสารสนเทศ (information era) ด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และดิจิทัล
ผมชื่นชมยินดีกับความสามารถและความรำ่รวยที่เขามีครับ เก่งครับ
แต่ผมอยากตั้งข้อสังเกตและชวนให้พวกเราคิดต่อว่า “ทำไมอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต แต่กลับราคาถูกกว่าสารสนเทศและเทคโนโลยีที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ” ครับ ทั้ง ๆ ที่กินไม่ได้ครับ
โทรศัพท์มือถือเครื่องที่ถูกที่สุดก็ราคาหลายร้อยบาท ขณะที่ข้าวสารหนึ่งกิโลกรัม ราคาไม่ถึงร้อย และข้าวสารหนึ่งกิโลกรัมกินได้หลายมื้อ ขณะที่โทรศัพท์กินไม่ได้แม้แต่มื้อเดียว
ผมไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีนะครับ ที่ผมได้เขียนเรื่องแชร์กับท่านนี่ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่ผมได้คุยกับลูก หรือเพื่อนที่อยู่ห่างไกลก็เพราะเรามีโทรศัพท์
แต่ที่เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารทั้งหลายมีราคาเหนือกว่าปัจจัย 4 อย่าง “อาหาร” นั่นเป็นเพราะว่าพวกเราสร้าง “ความต้องการเทียมหรือเกินความจำเป็น” ให้กับเทคโนโลยีการสื่อสารไหม
ลองสำรวจตัวเองว่าตอนนี้ "มีโทรศัพท์มือถือกี่เครื่อง ทุกครั้งที่มีรุ่นใหม่ออกวางตลาด ๆ เราเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่เป็นเจ้าของไหม เรามี Email กี่ account มีกลุ่มไลน์ กลุ่ม messenger กี่กลุ่ม ฯลฯ
นั่นไม่สำคัญเท่ากับเราได้ใช้เครื่องมือเหล่านั้น หรือกลุ่มสังคมเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว หรือผู้เกี่ยวข้อง และธุรกิจมากน้อยเพียงใด
แต่ละวันเราต้องมีค่าใช้จ่ายในการมีและใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น
ผมจึงตั้งโจทย์การอยู่ในสังคมเสมือนจริงอย่างมีคุณค่าครับ โดยไม่มีและใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เกิน “ความต้องการจำเป็น (need)” ครับ เพราะเราคงต้องอยู่ในสังคมเสมือนจริงแบบนี้ไปอีกนานครับ
สำหรับแนวคิดในการมีและใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ตามความต้องการจำเป็นและอย่างมีคุณค่านั้นผมเห็นเป็นดังนี้ครับ
นี่เป็นเพียงข้อสังเกตและนำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ
รักนะ
สมาน อัศวภูมิ
14 กรกฎาคม 2565
ข้อ 4 เป็นกันเยอะค่ะ