935. การค้นหาอิคิไกจากงานที่ไม่ชอบแต่แรก


เทพเจ้าซูชิ นี่เป็นหนังที่ผมดูนับสิบรอบ เนื่องจากเอามาสอนเรื่อง Business Model Canvas ตั้งแต่เรื่องนี้ยังใหม่ๆ เอาตั้งแต่ยังไม่มี Netflix เรื่องนี้เป็นสารคดีที่น่าทึ่งพูดถึงเชพซูชิที่ทางญี่ปุ่นนี่ถือว่าจิโร่ถือเป็นถ้าสมบัติของชาติ  คุณจิโร่ปัจจุบันอายุน่าจะใกล้ 90 เป็นคนที่น่าทึ่ง คุณจิโร่ถูกอ้างถึงในหนังสืออิคิไกแทบทุกเล่ม บอกว่านี่แหละตัวอย่างของคนมีอิคิไก ในหนังสือของฮาวาร์ด ก็พูดถึง ร้านของคุณจิโร่ได้มิชลิน 3 ดาว (เมื่อสิบปีก่อน) ซึ่งน่าแปลกสำหรับร้านที่มีเพียง 10 ที่นั่ง ไม่มีห้องน้ำด้วย  ร้านนี้ไม่ใช่จองง่ายๆ คิวยาวเป็นเดือน คิดต่อหัวราวๆ 10,000 บาทนั่นเมื่อ 10 ปีก่อน  เสิร์ฟครั้งละ 10 คนเป็นรอบๆ ไม่ขายเบียร์เน้นซูชิเป็นคำๆ อย่างเดียว ผมลองเดาเล่นๆ สมมติว่า ร้านเปิด 10 โมง รอบหนึ่งคนทาน 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วทุกวันปิดสัก 3 ทุ่ม  จะขายได้ราวๆ 10 รอบ หรือ 100 คน รายได้ต่อวันก็ 100x10,000 บาท ก็ 1 ล้านบาท ไม่ปิดเลยก็ 365 วันคูณเข้าไปก็ 365 ล้าน ถ้าคิดกำไรสัก 30% ก็ 109 ล้าน

ว๊าวไม่เลวเลยสำหรับร้านเล็กๆ เป็นอะไรที่ผมชอบมาพูดเพราะสมัยนี้ที่แพง การที่ร้านเล็กแบบนี้สามารถสร้างตัวมาได้ระดับนี้ผมว่าเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ  ร้านนี้ใช้วัตถุดิบแบบพรีเมี่ยม เอาเป็นว่าอย่างทูน่า ก็เอามาจากเจ้าที่ขึ้นชื่อเป็นเทพเจ้าทูน่า ผัก ข้าว ก็เอามาจากระดับเทพ ร้านนี้ดังมากขนาดประธานาธิบดีโอบาม่ายังมาแวะทานที่นี่   หนังบอกชีวิตประวัติคุณจิโร่ว่าทำไมมาทำซูชิ เหตุก็เพราะที่บ้านครอบครัวล้มละลาย ครอบครัวพ่อแม่ล้มเหลว เลยต้องออกมาหางานทำเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็ก สรุปไม่มีทางเลือก

Source: https://www.filmaffinity.com/us/movieimage.php?imageId=110568749

แต่จิโร่ก็ทำงานหนัก ในวงการซูชินี่ในหนังคนวิจารณ์อาหารในเรื่องบอกว่าเขาเชื่อว่าในยุคสมัยที่จิโร่เริ่มทำงาน มันไปสุดๆ ไม่มีอะไรใหม่ไปกว่านี้ แต่จิโร่ไม่สนใจ เขาคิดถึงซูชิทั้งวันทั้งคืน คิดแต่จะปรับปรุงโน่นนี่นั่น เรียกว่าบางทีฝันเป็นซูชิ เลย จากความจำเป็นกลายมาเป็นความผูกพันธ์ และจิโร่ก็พัฒนาอะไรขึ้นมาใหม่หลายอย่างตั้งแต่วิธีการปรุง การนวดปลาหมึก การบริหารแบบไคเซกิ หรือมีจังหวะการเสิร์ฟ ว่าอาหารชนิดไหนมาก่อนหลัง ไปจนถึงกระบวนการหุงข้าว คุณต้องดูครับน่าทึ่งมากๆ

นี่ครับคุณจิโร่ที่ใครที่ทำเรื่องอิคิไก จะบอกว่ามีอิคิไก  แต่ไม่ได้บอกว่าคุณจิโร่หาอิคิไกยังไง  บางเล่มจะบอกว่าคุณจิโร่มีโคดาวาริ คือการไม่ประนีประนอมกับผลงานตนเอง อันนั้นก็ได้  แต่สำหรับผมคุณจิโร่เป็นตัวอย่างของคนที่ค้นพบตัวเองจากงานประจำงานที่อาจเข้ามาทำด้วยความจำเป็นไม่มีทางเลือก แต่เขาสามารถเปลี่ยนมาเป็นอาชีพที่เขารักจนไม่อยากหยุดทำงานได้ จนกลายมาเป็นโดดเด่นระดับโลกได้

ผมว่าอิคิไกจากเรื่องนี้น่าขบคิดครับ ว่าทำไงสำหรับคนไม่มีทางเลือก เพราะลูกชายจิโร่สองคนก็เดินตามพ่อ คือประมาณจำใจทำอีก เพราะมีธรรมเนียมญี่ปุ่นว่าลูกคนโตต้องเป็นคนสืบทอด ซึ่งลูกของจิโร่ก็พสูจน์ตัวเองว่าทำได้ดีไม่ด้อยไปกว่าพ่อด้วย

ทำอย่างไร ผมนึกถึงหนังสือเรื่อง How to Ikigai: Lessons for Finding Happiness and Living Your Life's Purpose ของ Tim Tamashiro ที่ตอนนี้มีแปลเป็นไทย เล่มน่าสนใจมีพูดถึงว่าถ้าจะหาอิคิไก ก็อาจหาตามวงสี่สงอะไรที่ท่านรัก เก่งโลกต้องการและเป็นอาชีพ อันนั้นก็เป็นวิธีหหนึ่ง แต่นี่ดูจิโร่และลูกชายอาจเริ่มด้วยสภาวะจำยอม แล้วจะหายังไง ในเล่มนี้ Tim พูดถึงว่าการหาอิคิไก อาจหาได้โดยใช้แบบประเมินจุดแข็งเช่น Strengths Finder ก็ได้ ซึ่งสำหรับผมตัวที่ผมทำเป็นก็คืออีกตัวคือ VIA Character Strengths ตัวนี้เป็นสายจิตวิทยาเชิงบวก  เอาเป็นว่าดูแล้วก็ใช้ตัวนี้หาอิคิไก แบบสอบถามนี้ท่านเข้าไปทำได้ฟรีที่ https://www.viacharacter.org/account/register เลือกภาษาได้

เมื่อท่านทำออกมาท่านจะเห็นรายงานจะมีจุดแข็ง 24 ตัว ห้าลำดับแรกจะเป็นจุดแข็งที่เรียกว่า Signature Strengths นี่ครับตัวตนที่แท้จริงและอาจเป็นสิ่งที่ถ้าจิโร่ทำแบบสอบถามนี้  ผมว่าจิโร่จะได้ ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ความอุตสาหะ (Perseverance)    และอีกอันชื่นขมความงามและความสามารถ (Appreciative of Beauty and Excellence)  และ การตัดสินใจ หรือวิจารณญาณ (Judgement) อยู่ในห้าอันดับแรก

เพราะอะไรครับ ผมรู้สึกเขาเป็นคนกัดฟันไม่ปล่อย ไม่หยุดคิด ขยันนี่เลยความอุตสาหะ ทำให้เขาไม่หยุดจะปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้น แถมมีความคิดสร้างสรรค์มองหาโอกาสการพัฒนาเสมอ ไม่พอชื่นชมความงามและความสามารถนี่ จิโร่มีต้นแบบเชพที่เป็น Idol ระดับโลกที่มีความสามารถในการชิม ทำให้เขามีต้นแบบที่เป็นมาตรฐานโลก ไม่พอการสนใจความงามทำให้สามารถดึงจุดเด่นจากสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดเช่นไข่ออกมาให้โดดเด่นได้ ส่วนเรื่องการตัดสินใจมักหมายถึงคนที่ทำอะไรแล้วไม่ตามใคร คนอื่นอาจบอกว่าอยากแข็งแรงก็ไปวิ่ง แต่คนมีตัวนี้จะบอกว่าวิ่งอาจไม่ใช่วิธีการเดียวว่าแล้วเลยหาข้อมูล หรือค้นคว้าใหม่ จนที่สุดก็ได้ว่าเล่นโยคะก็ได้ เช่นกันนี่จิโร่ไม่ตามใคร ใครบอกว่าพัฒนาไม่ได้แล้ว จิโร่ก็ทำต่อมองหามุมที่คนมองไม่เห็นแล้วทำให้ดีขึ้นมานี่เรียกว่ามีการตัดสินใจ (Judgement) ที่ดี  แถมบอกว่าไม่ขายสาเกเหมือนร้านอื่นๆ ที่นี่ขายซูชิ เพราะอะไรครับ ถ้าคนมาทานสาเกรับรองนั่งแช่เป็นวัน เสียโอกาสหมดขายซูชิเหมาะสุดเพราะได้กำไรมาก และถนัดกว่าคนไม่นั่งนาน

ในสายจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) ค้นพบมาสักระยะว่าถ้าคนเอาจุดแข็ง ไปใช้นี่จะทำให้เกิดทั้งความสุข ผลงาน ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เรียกโตเป็น 1,000 เปอร์เซ็น จากสารคดีจะเห็นว่าจิโร่นอกจากเก่ง ประสบความสำเร็จในระดับโลก ยังเป็นที่รักนับถือในระดับชาติด้วย นี่น่าจะพออนุมานได้ว่าจิโร่ใช้จุดแข็งตัวเอง  มีความเป็นตัวของตัวเองได้สุดๆ

ผมเดานะครับอาจเริ่มจากไม่ชอบแต่เมื่อใช้จุดแข็งถูกที่ทาง ที่สุด มันเลยกลายมาเป็นงานที่มีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจุดแข็งห้าข้อแรกของจิโร่ถูกนำมาใช้อย่างทรงพลัง จนกลายเป็นคุณภาพและนวัตกรรมอาหารที่โลกยอมรับ    

ผมเองผมก็นึกถึงตัวเองว่ามาเริ่มงานเป็นอาจารย์นี่แบบงงๆ แต่ผมก็ค้นพบหนทางตัวเอง มาทำอะไรที่แตกต่างก็คือไปค้นพบศาสตร์ Appreciative Inquiry (ศาสตร์การพัฒนาองค์กรประเภทหนึ่ง) ผมเห็นไม่มีใครทำนี่ เลยเอามาต่อยอดทำโน่นนี่นั่นเป็นอาชีพไปเลย เพราะอะไรพอมาดูแบบสอบถามนี่ผมมี Creativity ชอบดัดแปลงคิดนอกกรอบ จัดคนอย่างผมไปอยู่กับอะไรเดี๋ยวเป็นเรื่อง ผมไม่ชอบทำเหมือนเดิม นี่ไงครับ ชัดเลย ผมถึงไม่แปลกใจว่าทำไมผมอินกับสารคดีเรื่องนี้ เพราะดูเริ่มต้นเราจะดูคล้ายๆ กันคือมาทำอะไรในจุดที่เราต้องทำด้วยความจำเป็น

คราวนี้สำหรับท่านเองถ้าต้องเริ่นต้นทำในสิ่งที่ไม่ชอบหรือจำใจต้องทำ ท่านสามารถเปลี่ยนเป็นอิคิไกได้ ด้วยการนำเอาจุดแข็งห้าข้อแรกมาพัฒนาต่อยอดงานของท่านเองได้เลย

ลองมาดูว่าจุดแข็ง 24 ข้อมีอะไรบ้าง คนเราจะมีจุดแข็งไม่เหมือนกัน ดู 5 ข้อแรกในผลที่ท่านได้มาเท่านั้น เมื่อได้มาอาจงง ลองดูนิยาม และความเป็นไปได้ในการประยุกต์ดังนี้

1.ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)  เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์  คิดนอกกรอบ ถ้าตัวนี้มาเป็นห้าข้อแรก ก็นั่งมองงานคุณเลยครับ คุณจะรู้สึกเบื่อมัน เดี๋ยวคุณเติมนั่นนี่ให้ต่างได้เอง

2.ความใฝ่รู้ (Curiosity)  เป็นคนชอบแสวงหาประสบการณ์แปลกใหม่ ลองไปหาอะไรที่น่าตื่นเต้น ทั้งในและนอกองค์กร รับรองคุณจะได้แนวทางการทำงานใหม่ๆ กลับมาปรับปรุงงานของตัวเอง

3. การตัดสินใจ (Judgement)  เป็นคนที่มีความคิดเชิงวิเคราะห์ คุณจะเจออะไรที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น  อาจลองลงไปลุยงานสักระยะ ฟังคนอื่นวิเคราะห์ คุณจะมองอีกมุมได้เสมอ ก็เอาไปทำให้ต่างได้เลย

4. รักการเรียนรู้ (Love of Learning) คนนี้รักการเรียนรู้ ลองได้สนใจอะไรแล้ว ลงลึก ถ้าคุณมีตรงนี้ลองเลือกองค์ประกอบของงานแล้วเจาะลึกหาความรู้ ที่มาที่ไปของมักมากขึ้นเรื่อยๆ ผมมีตรงนี้ทำให้ผมเวลาศึกษาที่เช่นอ่านหนังสือจะดูท้ายเล่มเขาต่อยอดมาจากใครแล้วไปหามาอ่านไปๆ มาๆ ไปเรียนกับคนเขียนเลย คุณก็จะทำให้งานคุณไปไกลกว่าเดิม รักมันเลบ

5. การมีมุมมองหลากหลาย (Perspective) เป็นคนมีมุมมองที่ดี สามารถใช้ความรู้หรือประสบการณ์ให้แง่คิดคุณได้ ถ้าคุณมีตรงนี้ลองหาโอกาศเข้าไปมีส่วนร่วมในงานมากๆ ไปสังเกตเดี๋ยวคุณจะเห็นช่องว่างในการปรับปรุงได้เอง หรือไปฟัง Podcast ฟังความเห็นคนเก่งๆ เดี๋ยวได้เรื่อง

6.ความกล้าหาญ (Bravery) ความกล้าหาญ คนนี้กล้าเผชิญอะไรที่น่ากลัว ท้าทาย เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ลองมองหางานที่คนอื่นไม่กล้า อาสาไปทำเลย คุณค้นพบตัวเองแน่นอน

7.ความซื่อสัตย์ (Honest) ความตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ต่อตนเองและคนอื่น  อาจใช้ความซื่อสัตย์มาปรับปรุงงานคุณให้โปร่งใสไม่มีนอกมีใน แค่นี้ก็สุดๆ แล้ว

8. ความอุตสาหะ (Perseverance) มีความเพียรพยายาม อยากทำอะไรที่ยาก ท้าทาย ต้องใช้เวลาทุ่มเท ลองลงไปทุ่มเทอะไรก็ได้ ไม่สำเร็จไม่เลิก คุณจะเกิดภูมิปัญญาเกี่ยวกับงานนั้นได้เลย ผมก็มีตัวนี้จับอะไรนานๆ ไม่เลิก คิดเรื่อยๆ หาเรื่องทำเกี่ยวกันตัวนั้นเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นโอกาส เช่นผมศึกษาสามก๊ก นี่อ่านมาเรื่อยๆ ดูเรื่อยๆ มาเป็นสิบปี ตอนนี้กลายมาเป็นหนังสือชีวิตก้าวหน้าด้วย 25 กลยุทธ์สามก๊ก กลายมาเป็นหลักสูตรสอนผู้บริหาร จับอะไรนานๆ คุณจะเจอช่องว่างเอง

9. ความมีชีวิตชีวา (Zest) มีพลังเหลือล้น มีชีวิตชีวา ลองให้คนแบบนี้ไปร่วมทีมกับใครก็ได้ เขาจะทำให้ทีมมีชีวิตชีวา เห็นความเป็นไปได้  ลองหางานที่คุณดูชอบนิดๆ ลงไปมีส่วนร่วมเลยเดี๋ยวกลายเป็นทุกคนจะไม่อยากให้คุณไปไหน เพราะคุณคือแสงสว่าง

10. ความใจดี (Kindness) ทำความดีแบบไม่หวังผล อาจเดินไปในชุมชน สำรวจปัญหาลูกค้า หรือสังคม เดี๋ยวคุณจะเห็นปัญหา และอยากช่วยที่สุดคุณจะเจอสิ่งที่คุณอยากทำ

11. ความรัก (Love)  ความรักความอบอุ่น  เห็นคุณค่าเรื่องความสัมพันธ์ จริงใจ  ลองไปสัมผัสคนหลายๆ กลุ่ม จะเห็นปัญหาเขาและทำให้เราออกแบบทางออกให้เขาได้

12. ความฉลาดทางสังคม (Social Intelligence) มีความฉลาดทางสังคม เข้าใจความรู้สึกตนเอง และคนอื่น นี่ไปลองเจอลูกค้า ไปเข้าสังคม ไปทำชมรม หรือไปเล่นกีฬาเป็นกลุ่ม แล้วจะเห็นโอกาส

13. ความยุติธรรม (Fairness)  คือ  ปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกัน ให้โอกาสทุกคนเท่าเทียมกัน   ลองไปดูว่าคนในองค์กร ลูกค้าได้โอกาสเท่าเทียมกันหรือไม่ ถ้าไม่พัฒนาหาทางออกให้เขาเลย

14. ภาวะผู้นำ (Leadership) เป็นคนรับผิดชอบ และนำกลุ่มให้ไปสู่เป้าหมายที่ดีได้ รวมทั้งรักษาความสัมพันธ์ที่ดีในกลุ่มได้ด้วย  ถ้ามีตัวนี้ก็สวยเลือกได้เลย เลือกเลยจะไปนำใคร ได้ทุกงาน ทุกประเภท

15. การทำงานเป็นทีม (Teamwork)  ช่วยเหลือ มีรับผิดชอบ ทำงานเป็นทีม ให้ทีมบรรลุเป้าหมาย  อันนี้เลือกทีมครับ ดูชอบทีมไหน ไปแจมเลยเดี๋ยวจะทำให้ทีมเจออะไรใหม่ๆได้เอง

16. การให้อภัย (Foregiveness) ยกโทษให้คนอื่น โดยใครทำอะไรไม่ดีก็ยกโทษให้ ไม่เอามาแก้แค้น เป็นคนให้โอกาสคนอื่น เหมาะกับการลองทำงานร่วมกับคนใหม่ๆ หรือโครงการใหม่ๆ คนจะอยากลองผิดลองถูก เพราะไม่กลัว ที่สุดจะกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้เอง

17. ความถ่อมตัว (Humility) ถ่อมตัว รู้ว่าตัวเองมีจุดแข็งและพรสวรรค์แต่ไม่แสดงตัวเป็นจุดสนใจ มองหาคนเก่งๆ ดึงมาร่วมงานเลยอะไรก็ได้ คุณจะเจอคนเก่งที่มาทำงานให้คุณในเรื่องอะไรก็ได้

18. ความรอบคอบ (Prudence) คนรอบคอบ ทำอะไรระมัดระวัง คิดถึงอนาคต และการป้องกันความเสี่ยง  นี่ก็ชัดอะไรเกี่ยวกับตัวเลข ความเสี่ยงมองหาเข้าไปมีส่วนร่วมเลย รับรองคุณจะดื่มด่ำ

19. การควบคุมตนเอง (Self-regulation) รู้จักควบคุมตัวเอง ควบคุมความรู้สึก  มีวินัย  เหมาะกับงานที่ต้องเผชิญแรงปะทะสูง ต้องอาศัยวินัย เอาวินัยไปปรับปรุงอะไรได้ทุกอย่างนโลกนี้ครับ สบายเลย

20. ชื่นชมความสวยงามและความสามารถ (Appreciation of Beauty and Excellence) ชื่นชมความสวยงามและทักษะ   คนกลุ่มนี้คิดอะไรแตกต่าง สามารถเห็นโอกาส ที่คนอื่นมองไม่เห็น เข้าใจว่าจะทำให้ของธรรมดามีมูลค่าได้อย่างไร เหมาะกับการมาทำงานวิจัยพัฒนา หรือประมาณอะไรที่สวยงามเช่นเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ หรือนำมาหาหาจุดแข็งของคนแล้วมาสร้างธุรกิจด้วยกัน

21. รู้สึกสำนึกบุญคุณ (Gratitude)  รู้สึกสำนึกบุญคุณ เห็นคุณค่า แสดงความขอบคุณ คนที่เป็นอย่างนี้จะเห็นคุณค่าองค์กร สำนึกรักองค์กร หาคนที่คุณชื่นชมแล้วไปทำงานด้วยสักพักคุณจะหาทางตอบแทนเขา ที่สุดงานของคุณและภาพรวมจะโดดเด่นขึ้นมา

22.มีความหวัง (Hope) ในแบบที่มองโลกด้วยความเป็นจริง มีความหวังต่อนาคตอย่างเต็มเปี่ยม เชื่อในการกระทำและมีความรู้สึกเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะออกมาดี  คนกลุ่มนี้น่าเอามาร่วมงานในโครงการที่มีลักษณะบุกเบิก

23. มีอารมณ์ขัน (Humor) มีอารมณ์ขัน เป็นคนที่ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก ทำให้คนอื่นมีความสุข เหมาะกับการนำไปร่วมงานที่ต้องเจอกับความกดดัน เพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น นี่ก็ไปทำอะไรก็ได้ สนุกขึ้นมาหมด ถ้าเป็นวิทยากรก็สายฮา หากินได้สบายๆ

24. จิตวิญญาณ (Spirituality) เชื่อในจุดประสงค์ และความหมายในชีวิต ความดี คุณธรรม   เหมาะกับการนำมาคิดหาแนวคิด พัฒนาระบบคุณธรรม และการบริหารงานที่เน้นความยั่งยืนไม่ฉาบฉวย   นี่คือลองฝังตัวเองไปกับการทำงานจะเห็นโอกาสทำให้ภาพรวม สังคม ชุมชน ดีขึ้นยังไง หรืออาจเป็นสายบุญก็ได้เช่นผมมีลูกศิษย์จะทำโครงการยากๆ ก็นั่งสมาธิก่อนทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์

เอาเป็นว่าลองเอาจุดแข็งมาผสมผสานกับงานประจำนะครับ ทำง่ายๆ เช่นเดือนนี้มีงานอะไรบ้าง 5 งาน  คุณก็ตังคำถามกับตัวเองส่า จะเอาจุดแข็ง 5 ข้อแรก แต่ละข้อไปสร้างความแตกต่างกับงานของคุณได้อย่างไร เช่นคุณค้นพบจุดแข็งห้าข้อแรกดังนี้ จิตวิญญาณ (Spirituality) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)  ชื่นชมความสวยงามและความสามารถ (Appreciation of Beauty and Excellence)  การมีมุมมองหลากหลาย (Perspective) ความซื่อสัตย์ (Honest)

คุณมีงานห้าอย่างได้แก่ (ผมเอาตัวเอย่างงานผมเอง) การสอนหนังสือ การคุยกับผู้บริหารที่จะเข้ามาใหม่ การให้คำปรึกษานักศึกษาเก่งๆ   การให้คำปรึกษานักศึกษาที่ไม่ทันเพื่อน การบริหารเวลาเพราะเริ่มยุ่งขึ้นเรื่อยๆ

ผมก็เชื่อมจุดแข็งแต่ละข้อไปทำให้ดีขึ้น ให้ต่างไปจากเดิมดังนี้ (ลองเชื่อมจุดแข็ง 1 ข้อ เข้ากับแต่ละงานไม่ต้องซ้ำกัน ​โดยดูคำอธิบายข้างใต้ คุณจะปิ๊งแว๊บค้นพบวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมาเอง ลองดูครับ)

1.การสอนหนังสือเรื่อง Appreciative Inquiry ผมเชื่อมเข้ากับ จิตวิญญาณ (Spirituality) จะลองเชิญชวนลูกศิษย์ก่อนเรียน ระหว่างเรียนเจริญสติสั้นๆ แล้วค่อยสอน ทำเป็นระยะๆ

2.การคุยกับผู้บริหารที่จะเข้ามาใหม่    จะลองใช้ ชื่นชมความสวยงามและความสามารถ (Appreciation of Beauty and Excellence)   ด้วยการไปดูประวัติเขาว่าน่าชื่นชมตรงไหนบ้าง อะไรทีเข้าสำเร็จมา เขากำลังสนใจอะไรเผื่อเราจะได้เติมเต็มเขา เขาเติมเต็มเรา

3.การให้คำปรึกษานักศึกษาเก่งๆ   ลองใช้ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)  น่าให้เขาลองสรุปทุกอย่างให้จบใน 5 นาทีแล้วเล่าให้เราฟังน่าจะเห็นช่องว่างปรับปรุงงานให้โดดเด่นขึ้นไปอีก

4.การให้คำปรึกษานักศึกษาที่ไม่ทันเพื่อน จะใช้ ความซื่อสัตย์ (Honest) มาประเมินงานบอกเขาตรงๆ ว่าอะไรได้ไม่ได้ แล้วทำให้ดีที่สุดตามสภาพของเขามีความเป็นไปได้อย่างไร

5. การบริหารเวลาเพราะเริ่มยุ่งขึ้นเรื่อยๆ   จะใช้การมีมุมมองหลากหลาย (Perspective)  ไปขอความเห็นจากคนยุ่งๆ เขามีการจัดการงานอย่างไร ดู Youtube ฟัง Podcast หามุมมองใหม่ๆ มาทำให้งานดีกว่าเดิม

ลองไปทำดูครับ เชื่อมกับงานทุกงาน กิจกรรมที่คุณทำได้ ก่อนทำคิดก่อนจะทำให้ต่าง ทำจบก็คิดต่อ สรุปบทเรียนแล้วจะทำให้ต่างไปอย่างไร ในทุกแง่มุมชองงาน

แล้วดูยังไงว่ามันเป็นอิคิไกแล้ว ก็เมื่อคุณเริ่มรู้สึกสนุก มีความสุขงานได้ผล ความสัมพันธ์ดีขึ้น ซึ่งไม่นานก็เห็นครับ แต่ต้องต่อเนื่อง จนกระทั่งทุกเช้าคุณรู้สึกอยากไปถึงที่ทำงานเร็วๆ นี่แหละงานคุณกลายเป็นอิคิไกไปแล้ว ผมเองเจอตอนอายุ 36  เพราะตอนนั้นคิดต่างมีความคิดสร้างสรรค์มองว่าจะไม่ทำเหมือนใครเลยเจอที่ชอบนี่เขียนบทความมา 900 กว่าบทความแล้ว ยังมันส์ไม่หยุดเลย

คุณล่ะคิดอย่างไร ขอให้ค้นพบอิคิไกนะครับ ชีวิตอาจเริ่มต้นที่เลือกไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะทำให้มันมีความสุข มีความหมายก่าเดิมได้ วิธีการมีแล้วลองลุยเลยครับ ติดขัดอะไรมาถามกันได้ครับ

ยาวหน่อยหวังว่าคงเป็นประโยชน์นะครับ ติดตามความรู้ ความเคลื่อนไหวด้านจิตวิทยาบวกได้ที่นี่ครับ  เป็นกลุ่มของผมเองใน FB   https://www.facebook.com/groups/1048380931894730/

หมายเลขบันทึก: 702773เขียนเมื่อ 24 พฤษภาคม 2022 12:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤษภาคม 2022 00:16 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท