วันที่ ๒๐ ธ.ค. ๔๙ ผมเข้าร่วมประชุมสภาคณาจารย์สมัยวิสามัญของมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อรับทราบข้อมูลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. ...... ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ ๓๐ คน ส่วนใหญ่เป็นกรรมการสภาคณาจารย์
ในช่วงเวลา ๓ ชั่วโมงเศษ ผมได้เรียนรู้เรื่องความรู้สึกและความกังวลของอาจารย์กลุ่มนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งได้รวบรวมข้อวิตกกังวลมาจากอาจารย์อีกจำนวนหนึ่ง ผมพอจะสรุปได้ดังนี้
๑. อาจารย์จำนวนหนึ่งไม่เข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของการออกนอกระบบราชการของมหาวิทยาลัย และไม่เข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของ "มหาวิทยาลัยวิจัย"
๒. คนจำนวนหนึ่งเอาสิวฝ้า ๒-๓ จุด มาเป็นข้อตำหนิความงดงามทั้งใบหน้า คือไม่มองความงามของภาพรวม แต่เฝ้ากังวลอยู่กับตำหนิจุดเล็กๆ เพียงไม่กี่จุด
๓. ยังมีความไม่ไว้วางใจ ไม่เชื่อใจ ต่อผู้บริหาร จากอาจารย์จำนวนหนึ่ง
๔. ยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ต่อภารกิจของสภามหาวิทยาลัย เข้าใจผิดว่าสภามหาวิทยาลัยเป็น "ผู้บริหารสูงสุด" ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงสภามหาวิทยาลัยเป็น governing body ไม่ใช่ management
ผมมองว่า "อาการ" เหล่านี้ เกิดจากการขาด communication ซึ่งหมายถึง ๒-way communication ใช้ภาษาสุนทรียสนทนา (dialogue)
วิจารณ์ พานิช
๒๐ ธ.ค. ๔๙
ขอคิดด้วยคนนะครับ ผมฟังเหตุผลในด้านของผู้ที่เห็นด้วยกับการออกนอกระบบแล้ว ผมสังเคราะห์ได้ว่า สิ่งที่เป็นสาเหตุที่มหาวิทยาลัยควรออกนอกระบบ น่าจะเป็นเรื่องของ "การบริหารจัดการของระบบราชการ" ที่มีความเทอะทะ ไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่มีคุณภาพ หรืออะไรในทำนองนี้ใช่มั้ยครับ
ถ้าด้วยเหตุผลข้างต้น ผมว่าเราควรแก้ปัญหาให้ตรงจุด ก็คือการเปลี่ยนเอา "ความเป็นระบบราชการออกไปจากมหาวิทยาลัย" อาทิเช่น ลดขั้นตอนการบริหาร สายงานบังคับบัญชา วัฒนธรรมองค์กร ระบบวัดประเมินคุณภาพ ถึงจะตอบได้ตรงปัญหา ถ้าอย่างนี้ผมเห็นด้วยนะครับ
แต่การเอามหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ตามที่คนในแวดวงการศึกษาบางส่วนพยายามผลักดัน มันเป็นเหมือนการแก้ปัญหาที่ไม่ค่อยตรงกับเหตุ และมันอาจจะเกิดปัญหาตามมาอีกเยอะ ผมคิดว่าปัญหาเรื่องการขึ้นค่าหน่วยกิตเนี่ยเป็นปัญหาที่ยังไม่ใช่ปัญหาแท้ เป็นแต่เพียงแรงกระเพื่อมของปัญหาจริงเท่านั้น
ปัญหาจริงของการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับความผิดชอบต่อรัฐหรือสังคมจะค่อยหมดไป ใครจะคิดว่าเศรษฐกิจ หรือ การเมือง เป็นกระดูกสันหลังของสังคม ก็คิดไป ผมไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น การศึกษาต่างหากที่ควรจะเป็นกระดูกสันหลังของรัฐหรือของสังคม ถ้าการศึกษาไม่เป็นไปในแนวทางอุดมการณ์ที่กำหนดโดยรัฐหรือสังคมแล้ว อะไรที่จะเข้ามาแทนแนวทางนี้ ผมว่าไม่วายที่จะเป็นแนวทางอุดมการณ์แบบทุนนิยมเสรี กลไกราคาจะเข้ามาทำหน้าที่แทน
ผมเป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญา ผมเชื่อว่าวิชาของผมไม่สามารถอยู่ได้โดยการกำหนดของอุปสงค์อุปทาน วิชาในแบบของผมต้องการการสนับสนุนจากรัฐที่มองเห็นในคุณค่าของวิชา ที่จะสามารถรับผิดชอบต่อสังคมในด้านใดด้านหนึ่ง แล้วก็ข้อเท็จจริงเลยนะครับ ภาควิชาปรัชญาเนี่ย โดนขู่มาหลายรอบแล้วว่า ถ้ารับนักศึกษาเอกปรัชญาได้ไม่ถึงตามโควต้า ก็จะมีการยุบภาควิชา