ตามที่เล่าในบันทึกที่แล้ว ว่ามีโรงเรียนจำนวนหนึ่งร่วมกันดำเนินการริเริ่มใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยไม่มีใครสั่ง ที่ทำเพราะเห็นคุณค่า ผมจึงถือโอกาสรายงานต่อสังคมไทยว่า วงการศึกษาไทยไม่สิ้นคนดี แม้ระบบการศึกษาไทยจะตกต่ำอย่างน่าใจหายก็ตาม
สังคม และระบบการศึกษาในปัจจุบันมีลักษณะ VUCA และคณะครูโรงเรียนรุ่งอรุณนำมาเป็นโอกาสพัฒนาวิธีจัดการเรียนรู้เพื่อเอื้อให้ศิษย์เกิดการพัฒนาสมรรถนะ ในสถานการณ์การระบาดของ โควิด ๑๙ เกิดผลอย่างน่าพิศวง ทั้งผลต่อนักเรียน และต่อครู
ผมได้เรียนรู้เรื่องนี้จากการประชุมมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ และรุ่งขึ้น วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ก็ได้เรียนรู้จากวง PLC Coaching Online ครั้งที่ ๑ ที่จัดโดยทีมงานของมูลนิธิสยามกัมมาจลว่า มีโรงเรียนจำนวนหนึ่งในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหัดศรีสะเกษ และระยอง ได้นำหน้าทดลองจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะไปแล้ว ในวันนั้นโรงเรียนบ้านรุ่ง จ. ศรีสะเกษ และโรงเรียนนิคมสร้างตนเอง จ. ระยอง ๘ นำประสบการณ์ของตนมา ลปรร. ฟังแล้วใจชื้น ว่าหากได้รับการหนุนที่ดี โรงเรียนไทยในชนบทสามารถลุกขึ้นมาเป็นพื้นที่สำหรับผู้ก่อการสร้างสรรค์ได้
ทำให้ผมเกิดความคิดขึ้นว่า การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนนั้น ต้องการผู้ก่อการ ๒ ระดับ คือระดับโรงเรียน กับระดับหนุนเสริมเอื้ออำนาจ เรามีการก่อการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะแล้ว อย่างน้อย ๓ มิติคือ (๑) โรงเรียนและครูผู้ริเริ่มก่อการ (๒) หน่วยงานไร้อำนาจสั่งการ ผู้ทำหน้าที่หนุนเสริม และ (๓) online platform เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ดังตัวอย่าง PLC Coaching Online ครั้งที่ ๑
๓ มิติของการก่อการนี้ สามารถขยายผลออกไปได้อีกมาก ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ คำถามคือ กระทรวงศึกษาธิการจะใช้พลังนี้อย่างไร ให้เกิดพลังทวีคูณอีกมากมายจากศักยภาพในสังคมไทย
วิจารณ์ พานิช
๓ ม.ค. ๖๕
ขอบพระคุณ อาจารย์มากนะครับกราบสวัสดีปีใหม่ 2565 ครับ อาจารย์