ฟัง อ นพ โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ บรรยายนานมากแล้ว แต่ยังทันสมัยอยู่เลยค่ะ ดิฉันอยากนำเสนอเพื่อมายืนยันว่าถ้าเราทำได้ตามขั้นตอนทั้ง 10 ในเรื่องที่ 1 เรื่องที่ 2 จะตามมาค่ะ
ขั้นตอนแรก หาเรื่องที่อยากทำ
- เราต้องหาเรื่องที่สนใจก่อนว่าอยากทำเรื่องอะไร ชื่อเรื่องอาจจะยังไม่สละสลวยก็ช่างเถอะค่อยๆเหลาชื่อให้แหลมไปเรื่อยๆก็ได้ โดยมากเราก็ต้องคิดมาจากประเด็นปัญหาที่ทำงานนั่นเอง ข้อสำคัญต้องคุยกันในที่ทำงานก่อนว่าเราจะทำเรื่องอะไร เพราะถ้าทำเสร็จจะได้มีคนนำผลวิจัยเรามาใช้ได้
ขั้นตอนที่ 2 ทบทวนงานวิจัยที่ผ่านมา
- เมื่อเราได้เรื่องที่จะทำวิจัยแล้ว เราต้องเริ่มการค้นคว้าว่าใครทำเรื่องทำนองนี้มาแล้ว มีทฤษฎีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง ปัญหาในขั้นตอนนี้เมื่อทบทวนงานวิจัยมาได้แล้ว ถ้าเราลืมใส่ความเห็นของตัวเอง โดยเรานำเรื่องที่เราค้นหามาได้มาเรียงๆกัน แปลว่าเรานำมาตัดแปะ (Copy& Paste) อย่าลืมขมวดความคิดเห็นของเราด้วย
ขั้นตอนที่ 3 กำหนดวัตถุประสงค์
- ควรกระชับ ชัดเจน ไม่ต้องอยากรู้มากเกินไป สำคัญว่าเราอยากรู้อะไร จากที่รู้แล้ว อยากรู้อะไรอีก ต้องถามตัวเองเสมอว่า งานที่ทำใหญ่เกินไปไหม...
ขั้นตอนที่ 4 ตั้งคำถามวิจัย
- ต้องเหลาคำถามวิจัยให้คมชัด ถ้าเราถามอะไร เราก็ต้องหาคำตอบให้ตรงคำถาม เพราะคำถามจะเป็นตัวกำหนดระเบียบวิธีวิจัย ปัญหาในขั้นตอนนี้คือ ขาดความเฉพาะเจาะจง ถ้าเราตั้งคำถามวิจัยแล้วได้คำตอบที่ไม่ทำให้เราฉลาดขึ้น ก็ไม่ต้องทำวิจัย คำถามวิจัยไม่ใช่คำถามที่จะใช้ถามกลุ่มตัวอย่างของเรา แต่คำถามวิจัยมีไว้เพื่อกำหนดวิธีวิจัย ดังนั้นคำถามวิจัย ให้เราเก็บไว้ในใจตลอดเวลา เพื่อจะได้ไม่หลงประเด็น
ขั้นตอนที่ 5 กำหนดวิธีการวิจัย
- การคัดเลือกวิธีวิจัยว่าจะเป็นแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับคำถามวิจัย จะเป็นเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ ( วิจัยเชิงบรรยาย วิจัยเชิงทดลอง วิจัยหาความสัมพันธ์ วิจัยเชิงปฏิบัติการ ฯลฯ)
ขั้นตอนที่ 6 เริ่มเก็บข้อมูล
- เก็บข้อมูลให้เป็นระบบ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญมากถ้าบริหารจัดการงานวิจัยไม่ดี จะทำให้งานวิจัยล่าช้า ถ้าเครื่องมือวิจัยดี มีการบริหารจัดการงานวิจัยที่ดี ผู้วิจัย ผู้ช่วยวิจัยดี บันทึกดี และมีการทบทวนกระบวนการทำวิจัยเสมอจะทำให้เราได้ข้อมูลสมบูรณ์
ขั้นตอนที่ 7 สรุปผลวิจัย
- ผลการวิจัยหรือสิ่งที่เราค้นพบได้อะไรใหม่ๆไหม ข้อค้นพบจะต้องสรุปให้กระชับ สร้างสรรค์และมีความสำคัญเพราะเราจะต้องนำผลจากการทำวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หัวใจที่จะทำให้ทำได้ดี จะต้องอ่านแล้วอ่านอีกและสามารถสังเคราะห์งานวิจัยให้ได้ จึงจะได้ความรู้ใหม่
ขั้นตอนที่ 8 เขียนบทคัดย่อ
- การเขียนบทคัดย่อไว้ จะทำให้เรามองภาพรวมทั้งหมดได้ชัด เพื่อเราจะได้ไม่หลงประเด็น เดินถูกทาง ไม่เดินสะเปะสะปะ และสามารถนำข้อมูลที่จำเป็นมาใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ขั้นตอนที่ 9 เผยแพร่งานวิจัย
- นำเสนอสิ่งที่เราค้นพบมาได้ให้มีพลัง การนำเสนอมีหลายแบบ คือ การเขียนรายงานการวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร (manuscript)ประมาณ 8-10 หน้า เราต้องตั้งเป้าหมายไปเลยว่าจะตีพิมพ์วารสารไหน เราก็เขียนตามข้อกำหนดของวารสารนั้น การทำวิจัยทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องเขียนเป็นเล่มๆให้เหนื่อยอีกต่อไป ถ้าเราจะไปนำเสนอแบบ oral presentation หรือ Poster presentation ที่ไหน เราก็เขียนตามข้อกำหนดของที่นั้นๆ หรือนำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (KM) เราก็นำประเด็นที่น่าสนใจไป ลปรร เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 10 ทำวิจัยบ่อยๆ จะเป็นเทพแน่นอน
- ขั้นตอนสุดท้าย ทำวิจัยบ่อยๆเราจะเป็เทพเอง ให้จำไว้ว่า ...งานวิจัยเรื่องแรกจะน่าอายเสมอ การทำวิจัยเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ เป็นเครื่องมือผลิตความรู้ (Education tool) และเสริมอำนาจ (Empowering tool)
สรุปว่า
- การทำวิจัย ยิ่งทำยิ่งสนุก ยิ่งทำยิ่งอยากรู้ ทำเรื่องที่ 1 เรื่องที่ 2,3,4,5,6 จะตามมา การทำวิจัยในหน่วยงานเรา ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ ดิฉันยืนยัน ยิ่งทำงานประจำให้เป็นงานวิจัย แล้วนำผลงานวิจัยมาใช้ ถ้ายังช่องว่าง (Research gap) ตรงไหนก็ทำวิจัยอีก หมุนวนไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะได้แนวปฏิบัติการพยาบาลที่ดีที่สุด (Clinical Nursing practice guideline) นำไปสู่ Best practice
ผลลัพธ์สุดท้ายของการวิจัย
- จะต้องเกิดประโยชน์กับผู้มาใช้บริการผู้ป่วยเสมอค่ะ นอกจากนี้จะลืมไม่ได้เกิดประโยชน์กับผู้ทำด้วย เพราะจะเกิดความภาคภูมิใจและเกิดประโยชน์กับองค์กรของเราและองค์กรอื่นๆด้วยเช่นกัน
ขอขอบพระคุณ
- ท่านอาจารย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ที่มาจุดประกาย ทำเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่ายๆได้ในพริบตา
หวังว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านจะไปเริ่มต้นทำวิจัยง่ายในหน่วยงานตนเองนะคะ เริ่มจากงานประจำของเราก่อนมาทำให้เป็นงานวิจัย (R2R)จะเริ่มได้ง่ายที่สุดค่ะ
อ่านเพิ่มเติมที่ http://gotoknow.org/blog/nurseresearch/316905