Mobile Unit : หน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่อพัฒนาสุขภาพและอาชีพประชาชน โดย มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อพื้นดินรอบๆมหาวิทยาลัยนเรศวร
โครงการนี้นะครับ เริ่มต้นเมื่อไหร่ผมจำไม่ได้หรอกครับ เพียงแต่ว่าผมรู้จักมันครั้งแรกก็เมื่อเข้ามาเป็นนิสิตปี ๑ แล้วบังเอิญเดินไปเห็นป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ มองแล้วก็แล้วครับ
จนวันหนึ่งด้วยความที่ผมได้รับสิทธิเป็นหนึ่งในนิสิตที่เข้าร่วมโครงการเรียนรู้ร่วมกัน สรรค์สร้างชุมชน จำได้ว่ารุ่นผมเป็นรุ่นสุดท้าย และผมก็เป็นน้องปี ๑ เพียงคนเดียว ที่รุ่นนั้น (เค้าคัดนิสิตจากผลงานการทำกิจกรรมนะครับ) ผมไปลงพื้นที่ อ.บางคลาน พิจิตร อยู่หนึ่งเดือน กลับมาทำวิจัยอีกหนึ่งเดือน ก็เลยมีประสบการณ์ในด้านลงชุมชนจากโครงการนี้พอสมควร ขี้หมูขี้หมา จบโครงการนิสิตปี ๑ อย่างผมก็วิเคราะห์ SWOT ชุมชน และทำแผนที่เดินเท้าเป็นละครับ
จริงๆแล้ว Mobile Unit นั้นเป็นเวทีการแสดงของอาจารย์ครับ บทบาทของนิสิตนั้นจะมีได้ก็ต่อเมื่อเป็นนิสิตปีสุดท้ายของหลักสูตรเท่านั้น แต่หลังจากผมผ่านโครงการมาในขั้นต้นแล้ว ก็ได้รับการติดต่อจากพี่สาวคนหนึ่งครับ (คนที่ใช้นามปากกาว่า"เด็กอยากรู้" อะครับ) พี่เค้ามาติดต่อว่าอยากให้ไปช่วยงานในด้านการผลิตสื่อให้กับ Mobile Unite เห่อๆ ผมรับปากครับ นั่นแหละครับก็คือก้าวแรกที่ผมก้าวเข้ามาในวงการกิจกรรมของอาจารย์ วงการวิชาการที่ตอนนั้นผมยังเป็นแค่นิสิตที่พึ่งขึ้นปี ๒ ที่ไม่ค่อยรู้อะไร
ในช่วงเวลาเดียวกันผมก็ต้องไปรับตำแหน่งในส่วนของกิจกรรมนิสิต นั่นคือรองประธานชมรมถ่ายภาพ รองประธานชมรมคอมพิวเตอร์ศึกษา กรรมการสโมสรนิสิต ซึ่งก็ต้องแบ่งเวลาทั้งการเรียน กิจกรรมนิสิต และกิจกรรมของ Mobile Unit
แรกๆผมต้องไปออกหน่วยตลอดครับ แทบทุกครั้ง หากอาจารย์ที่เคยไปออกหน่วยในปี ๔๘ อาจยังจำได้กับภาพนิสิตที่เดินถ่ายภาพทั้งวัน เห่อๆจากวันนั้นถึงวันนี้ปีกว่าแล้วครับ ที่ผมยังคงทำหน้าที่นั้นมา
จากความทรงจำของผมที่ได้เดินทางไปในแต่ละที่ ผมพบดินแดนที่ร้อนระอุ ปลูกอะไรก็ไม่งาม ดินแดนที่ประชาชนในหมู่บ้านทะเลาะกัน ดินแดนที่ประชาชนวัยหนุ่มสาวหนีไปทำงานในเมืองใหญ่เหลือแต่คนวัยเด็กและวัยชรา ดินแดนที่น้ำท่วมปีละ ๗ - ๘ ครั้ง ดินแดนที่เวลาสิบโมงเช้าหมอกยังบดบังพระอาทิตย์ไม่ให้ประชาชนได้มองเห็น และดินแดนอื่นๆอีกมากมาย ที่เค้ายังมีรหัสไปรษณีย์อยู่ในประเทศไทย ที่คนส่วนใหญ่กลับไม่สนใจ กลับทอดทิ้งพวกเค้าไปเข้าเมืองใหญ่หาความสะดวก
ผมเรียนรู้จากชุมชนเหล่านี้มากมาย จากเดิมที่ไปเพื่อถ่ายภาพอย่างเดียว ผมกลับต้องทำการบ้านในการหาคำตอบให้ตนเองว่าชุมชนเหล่านั้นมีสภาพเป็นอย่างไร มีปัญหาอะไร มีอะไรดี อะไร และ อะไร
ผ่านกาลเวลาผมเติบโตขึ้นพร้อมกับตำแหน่งในกิจกรรมฝั่งนิสิตก็โตขึ้นชั้นปีก็สูงขึ้นการเรียนก็หนักขึ้น แต่ผมก็ยังไปออกหน่วยในหน้าที่ช่างภาพเหมือนเดิม เหมือนกับวันแรกๆที่ผมเคยทำ เพราะผมรักที่จะเห็นเมืองไทย เห็นพี่น้องประชาชน ถึงผมจะไปช่วยอะไรไม่ได้มาก ด้วยความรู้น้อย แต่อย่างน้อยภาพที่ผมถ่าย มันก็อาจเป็นกระบอกเสียงที่จะบอกเล่าเรื่องราวของอีกมุมหนึ่งของประเทศไทย ที่คนส่วนใหญ่มักจะหันหลังให้เพียงเพราะมันมืด ไม่สว่างเหมือนแสงไฟในเมือง ซึ่งผมภูมิใจ
ผมเห็นอาจารย์หลายคนไปออกหน่วยตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมรับหน้าที่ครับ จนถึงวันนี้ปีกว่าแล้วก็ยังเห็นท่านไปออกหน่วยอยู่ ผมชื่นชมในความเสียสละของท่านครับ และผมก็เห็นอาจารย์บางท่านไปออกหน่วยเพียงครั้งเดียว และไม่เคยเห็นอีกเลย ท่านหายไปไหน รึว่าท่านงานเยอะ
Mobile Unit เป็นโครงการที่ดีมากครับเป็นการบริการชุมชนจากพละกำลังของมหาวิทยาลัยที่ใช้เงินภาษีจำนวนมหาศาล และเป็นการดึงความรู้อันมหาศาลเช่นกันจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สั่งสมมาเป็นร้อยๆปี นำความรู้นั้นมาพัฒนาและส่งกลับไปยังชุมชน จะถือว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างสังคมไม่ทอดทิ้งของกระทรวงพัฒนาสังคมฯก็ได้นะครับ ผมว่านะ
และเมื่อวันที่ ๒๒ - ๒๔ ธันวาคมที่ผ่านมา Mobile Unit ก็ได้ไปให้บริการที่ บ้านแม่สลิดหลวง ต.แม่สอง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ครับ ผมก็ได้ร่วมทางไปในดินแดนของหมู่บ้านชาวไทยกะเหรี่ยง ที่นั่นผมพบว่าผมสามารถยิ้มให้กับทุกๆคนได้ โดยทุกคนสามารถยิ้มตอบผมได้อย่างจริงใจ ผมพบว่าถ้าผมยิ้มในลักษณะนั้นให้กับคนบางคนในเมือง เค้าอาจคิดว่า ผมยิ้มให้เค้าทำไม มีอะไรแฝงรึเปล่า เราพูดกันคนละภาษาครับ แต่ความหวังดีนั้นทำให้เราสื่อถึงกันได้ ประชาชนก็ได้รับความสุขจากการที่ได้มารับบริการ ข้าราชการในท้องที่ก็มีความสุขที่ชุมชนของเค้าไม่ถูกทอดทิ้ง อาจารย์ที่ไปก็มีความสุขที่ได้ทำความดี ผมว่าผมก็มีความสุขครับที่ได้เห็นภาพนั้น
ใครไม่เคยเหยียบดินก็ไม่รู้หรอกครับ ว่าดินมีความรู้สึกเช่นไร ไม่รู้ว่าดินนั้นร้อน ดินนั้นหนาวเย็น ดินนั้นมีหนาม แล้วคนที่อยู่กับดินเค้าอยู่ได้อย่างไร คนที่เหยียบพื้นปูนไม่สามารถทราบได้ อยากให้ทุกท่านที่มีชื่อว่าอาจารย์ ลองคิดดูนะครับ ว่าท่านลงไปเหยียบพื้นดินบ่อยแค่ไหน หรือท่านทิ้งดินไว้ให้คนอื่นแล้วท่านนั่งสบายอยู่บนหอคอยงาช้าง
เป็นมุมมองของนิสิตคนหนึ่งที่ออกหน่วยติดต่อกันมาปีกว่าแล้วนะครับ ที่อยากให้เห็นคุณค่าของรากฐานของบ้านเมือง ความรู้ผมน้อยนะครับ อาจทำไรผิดๆถูกๆ ไม่กล้าจะแนะอะไรผู้เป็นอาจารย์มากหรอกครับ แต่ถ้าหากวันใดอาจารย์อยากจะสัมผัสดิน อยากไปลงไปยังดินแดนที่ปูด้วยดิน อย่าลืมนะครับ ร่วมออกเดินไปกับเรา Mobile Unit หน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่อพัฒนาสุขภาพและอาชีพประชาชน Mobile Unit เปิดประตูรถรออาจารย์อยู่นะครับ
...........................
น้องปืนเขียนเล่าประสบการณ์ได้ดีค่ะ
แต่ถ้ามีภาพประกอบด้วยคงทำให้เรามีความรู้สึกร่วมกันได้มากขึ้นนะคะ
ขอบคุณมากปืนสำหรับบันทึกนี้ ถ่ายทอดประสบการณ์ได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ
ขอให้ช่วยแก้คำว่า unite เป็น unit ทั้งหมดด้วยปืน จะได้เหมือน ๆ กัน
หนูบีเวอร์
หนูได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
คุ้มค่าจริง ๆ กับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
เรียน พี่แก้มแหม่ม
เรียน อาจารย์วิบูลย์
เรียน ป้าวิไล
เรียนพี่วิภา
ขอชมน้องปืน ด้วยอีกคนค่ะ
ที่นั่นผมพบว่าผมสามารถยิ้มให้กับทุกๆคนได้ โดยทุกคนสามารถยิ้มตอบผมได้อย่างจริงใจ
อยากเห็นรอยยิ้มนั้นจัง....................
เอาภาพลงด้วยซิค่ะ จะได้มีอารมณ์เข้าถึงได้มากกว่านี้ ... เหมือนที่คุณแก้มแหม่น แนะนำไง ลองดู ๆ
แต่อย่างน้อยภาพที่ผมถ่าย มันก็อาจเป็นกระบอกเสียงที่จะบอกเล่าเรื่องราวของอีกมุมหนึ่งของประเทศไทย ที่คนส่วนใหญ่มักจะหันหลังให้เพียงเพราะมันมืด ไม่สว่างเหมือนแสงไฟในเมือง
ชอบภาษาพี่ปืนจัง ไพเราะเพราะพริ้งดี น่าจะไปเขียนหนังสือนะ แต่ต้องดังกว่านี้หน่อย
พี่ปืนถ้าดินมันบ่นได้มันคงบ่นว่าหนักเนาะ มีแต่คนไปเหยียบมัน เวลาดินหนาวก็ไม่มีใครห่มผ้าให้ เวลาร้อนก็ไม่มีแอร์ให้เปิด แย่จัง
ชาติหน้าอย่าเกิดเป็นดินนะ