ใจกว้าง
ทิดคำมั่น, 20-07-55,01.52น.,เพิงบุรีรัมย์
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
“แม่..ทำไม ไม่ทำใจให้กว้างกว่านี้สักหน่อยไม่ได้หรือ ?”
แล้วก็เป็นปากเสียงทะเลาะกันตามมาเช่นเคยระหว่างแม่กับลูกสาวในเย็นย่ำอันอบอ้าวแห่งฤดูย่างเข้าการทำนา
ฝนฟ้าที่ควรจะตกต้องก็มีอันต้องคอยลุ้น ไม่อาจคาดเดาได้ ยิ่งพื้นที่แห่งภูมิภาคอิสานตอนใต้แล้วยิ่งไปกันใหญ่
ต้นกล้าข้าวที่เพียรตกไว้รอปักดำ ก็ปลายแดงเหี่ยวแห้งด้วยไร้น้ำหล่อเลี้ยง ช่างดูเหมือนสีหน้าของนางครั้งนี้เหลือเกิน...ต่างคนยิ่งเหน็ดเหนื่อยจากอาชีพการงานยิ่งชวนให้บรรยากาศช่างน่าอึดอัด กระวนกระวายน่าดู....
คิด ๆ ดูบางทีนางเองก็ลืมไปเหมือนกันว่า ไม่ได้มีเพียงนางที่เคร่งเครียดจากงานนา ลูกสาวที่นางเคยรักเคยเอ็นดูตั้งแต่ 35 ขวบล่วงมาก็ต้องมีภาระและความเคร่งเครียดจากการที่ทั้งเลี้ยงลูก วัย 3-4ขวบวัยกำลังซน และกำลังช่างสงสัยพร้อม ๆ กับการที่ต้องทำขนมตาล ขนมห่อหมก และอีกสารพัดขนมเพื่อมีรายได้ประทังครอบครัวเช่นกัน แต่สิ่งที่เป็นเหตุชวนให้ทะเลาะมันเป็นคนละเรื่องกับที่นางคิดถึงอดีตในตอนนี้ ... คิดถึงตอนนี้นางก็ได้หยุดความคิดไปกับความเอือมระอาที่มีอยู่ ...
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้ไม่นาน ความพยายามคาดหวังที่มีต่อลูกสาวขาดผึงไปด้วยความที่ไม่อาจอดทนได้อีก นางโทรศัพท์คุยครั้งสุดท้ายกับลูกสาว ซึ่งนับแต่เดิมตั้งแต่ลูกสาวของนางคลอดหลานตัวเล็ก ๆ เป็นเด็กชายน่ารักเมื่อ 3 ปีจะเข้าขวบ ปี 4 อีกไม่กี่เดือนนี้ นางก็ทำหน้าที่เป็นยายที่เลี้ยงหลานจนหลานตัวน้อยติดปากเรียกนางว่า”แม่” นางก็โทรศัพท์ให้กำลังใจลูกสาวที่กลับเข้ามาทำงานที่กรุงเทพเพื่อจะได้มีค่านมลูกบ้าง เป็นประจำ... หลาย ๆ คนแถบบ้านนี้ก็มักจะมีชีวิตไม่แตกต่างกัน ประดุจเป็นแฟชั่น แฟชั่นสุดขมขื่น...
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีคำถามว่าพ่อของหลานของนางไปใหน ?
นั่นแหล่ะ ที่ทำให้ขมขื่นยิ่งกว่าเดิม.
การมีลูกในวัยที่ยังไม่พร้อม แต่ธรรมชาติและกระแสสังคมบางส่วนที่กลายเป็นความเคยชินในหลาย ๆ คนหลาย ๆ ครอบครัว และหลาย ๆ สังคม ยังคงมีให้เห็นกันเดียรดาษ และไม่อาจปฎิเสธความจำเป็นที่จะต้องเกิดเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางก็เป็นครอบครัวชนบทที่โดนพิษภัยแห่งความเป็นกระแสภิวัฒน์ “หนี้” ไม่ว่าจะเป็นหนี้ ธกส บ้าง หนี้กองทุนเงินล้านบ้าง หนี้กลุ่มแม่บ้านบ้าง ฯลฯ มิอาจกล่าวได้หมด...
หากย้อนไปสมัยเดิมของนางที่เมื่อครั้งแรกที่ตัดสินใจมีครอบครัวในวัยสาว การเริ่มต้นมันช่างแตกต่างกันลิบลับ
ที่นาที่ยังคงมีเท่าเดิมนั้นเกิดจากการช่วยกันแผ้วถางป่าใช้แรงงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลยสักบาท กับข้าวกับปลาก็หาได้จากละแวกนั้นทั้งหมด การสัญจรก็ไม่จำเป็นต้องมีรถรา นาน ๆ ครั้งเมื่อมีความจำเป็นต้องเข้าตัวอำเภอถึงจะได้ใช้บริการที่อาจเรียกว่าน้ำใจมากกว่าราคาค่าเงิน
นางยังจำได้ดีเมื่อมีลูกชายคนแรกเมื่อนางอยู่ในวัย 15 ปี ซึ่งหลังจากนั้นมาหลายปีนางก็มีลูกรวมกันอีกหลายคน นางจำได้ถึงความดีใจของลูกที่จะได้เข้าโรงเรียนที่จะได้พบเพื่อนฝูงตามประสาเด็ก ซึ่งนางก็เคยเป็น แต่ครั้งสมัยนางอย่างเก่งไม่เกิน ป. 4 และนางยังคงจำได้ถึงเสียงร้องไห้อย่างปวดร้าวของลูก ๆ อีกหลายคน ที่ไม่สามารถเข้าเรียนต่อมัธยมได้หลังจากจบ ป.6 โดยเฉพาะบรรดาพี่ ๆคนโต ซึ่งนางเองก็เสียใจไม่น้อยที่ได้กลายเป็นโกหกลูก ๆ เมื่อครั้งพยายามพร่ำสอนให้เรียนหนังสือให้เก่งจะได้เรียนสูง ๆ และจะได้ไม่ลำบากเหมือนนาง ลูก ๆ หลายคนก็ไม่ได้ทำให้นางผิดหวังเลย...
มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกสาวคนโต อายุอ่อนกว่าลูกชายคนแรกของนางปีหนึ่งสอบได้อันดับต้น ๆของนักเรียนทั้งหมดที่จบป.6 จนทางครูที่โรงเรียนวัดอาสาจะให้ทุนเรียนฟรีต่อมัธยมเพียงแค่ผู้ปกครองยินยอม...แม้นางจะแอบปลื้มในความสามารถของลูก แต่เหตุผลที่ยังคงมีน้อง ติด ๆกันอีก 3 คนเป็นสิ่งที่ทำให้นางต้องฝืนใจปฎิเสธไป นางรู้ดีว่าลูกสาวเศร้าใจเพียงไร แต่หน้าที่ที่พี่ควรมีคือต้องเลี้ยงน้องช่วยแม่ โดยเฉพาะลูกสาวที่เมื่อถึงเวลาหนึ่งลูกสาวของนางก็จะต้องมีครอบครัวเพื่อเป็นกำลังสำคัญต่อครอบครัว และนั่นก็เป็นเหตุผลสนับสนุนที่บอกได้ว่าไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเรียนต่อ...ถึงตอนนี้นางก็ยังรับรู้ถึงความโศกเศร้าเสียใจที่ส่งผลให้นางกับลูกสาวคนโตไม่สามารถคุยกันได้ถึงสิบคำ และนาน ๆครั้งก็ถึงจะแวะมาเยี่ยมนาง แต่จะมาในลักษณะที่ยังเลี้ยงตัวเองไม่รอด สำหรับลูกชายคนโตของนางไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีโอกาสได้เรียนหรือไม่ เพราะตั้งแต่จบป. 6ได้ไม่ถึง 10 วันลูกชายของนางก็เข้าทำงานกรุงเทพเพื่อที่จะเป็นเรี่ยวแรงในการส่งเสียน้อง ๆเรียนได้ หากนับปัจจุบันคงจะมีอายุประมาณ 40 ต้น ๆ ยิ่งที่ลูกชายของนางกลับมาจากกรุงเทพใหม่ตอนที่กำลังย่างก้าวเป็นวัยรุ่นหนุ่ม 15 – 16 ปีรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาคมคาย หล่อเหลาที่เดียว นางเองยังแอบเตือนเรื่องการเที่ยวสำมะเลเทเมาหรือเรื่องผู้หญิงอีกด้วย ซึ่งลูกชายของนางก็ได้ทำตามสัญญาที่รับปากไว้กับคำห่วงใย ไม่มีเรื่องผู้หญิง ไม่มีเรื่องสำมะเลเทเมา หรือเรื่องทะเลาะต่อยตี และไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจกลับมาหานาง ... ลูกชายคนโตของนางเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถที่กรุงเทพ ด้วยวัย 17ปี นางไม่ได้กำชับลูกของนางเรื่องการขับรถขับเรือ.
...เสียงทะเลาะเงียบงันลงแล้ว แต่ไม่ใช่เงียบด้วยข้อยุติอย่างพึงพอใจทั้งสองฝ่าย
นางเป็นฝ่ายเงียบเมื่อเหลือบมองเห็นคนที่หลาย ๆคนบอกนางว่าเป็นลูกเขย เพราะเป็นสามีของลูกสาวและเป็นพ่อของหลานชายของนาง
ตั้งแต่ต้นปีที่แล้วลูกสาวคนเล็กของนางมีปัญหาทางด้านการเงินที่กรุงเทพอย่างหนักจนนางตัดสินใจเรียกลูกให้กลับมาอยู่บ้านทำงานแถวๆ บ้าน เช่นขายของตามตลาดนัดหรือตลาดเทศบาลที่บ้านก็ได้เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่กรุงเทพ ลูกสาวนางก็กลับมาและก็มีความขยันจนนางแอบภูมิใจถึงความคิดตัวเองว่าทำถูกแล้ว แต่พอถึงสิ้นเดือนนางลองสอบถามเรื่องรายได้ของการทำขนมขาย แรก ๆ เดิมทีลูกสาวตอบบ่ายเบี่ยงว่ายังมีหนี้ที่กรุงเทพอยู่จึงส่งชำระหนี้ไป แต่ครั้นพอหลายครั้งเข้านางก็พอจะเห็นคำตอบว่าลูกสาวของนางพูดไม่ตรงกับความจริงทั้งหมด
นางผิดหวังและรู้สึกเกลียดชังต่อพฤติกรรมของคนที่นางควรจะเรียกว่าลูกเขย เพราะนี่คือสาเหตุมูลหนี้ที่ลูกสาวส่งให้ ไหนจะต้องส่งค่าเช่าบ้าน ไหนจะต้องส่งค่างวดรถมอเตอร์ไซค์ ให้ นางร้อนไปถึงในใจว่าเพราะเหตุใดต้องทำให้เขาถึงขนาดนั้น พิการหรือก็ไม่พิการ ยังเป็นวัยทำงานอยู่ คำตอบของลูกสาวที่นำไปสู่ความเอือมระอาในใจนางยังคงก้องหลอนในห้วงความคิดเสมอ
“อยากให้ลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ...แม่ทำไมไม่ทำใจให้กว้างกว่านี้สักหน่อยไม่ได้หรือ ...บ่นแล้วมันได้อะไรขึ้นมา..”
นางนั่งทบทวน หลังจากอยู่ในอาการตะลึง เพราะไม่เคยคิดว่าลูกสาวจะพูดกับนางเช่นนี้ ...ครั้งนั้นนางเงียบไปนาน ๆ ก้มหน้าเงียบกับน้ำตาที่เป็นคลื่นไหลภายในอกนางไม่ให้ลูกของนางได้ยินหรือเห็น นาง ได้แต่คอยแอบชำเลืองขึ้นแถวหิ้งพระ ที่ตอนใต้หิ้งมีรูปถ่ายเก่า ๆ ของลูกชายของนาง ข้าง ๆกันกับรูปพ่อของเขาที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่กรุงเทพ ... เพียงเพื่อต้องการและพยายามทำครอบครัวให้สมบูรณ์....
ลูกสาวของนางกลับไปทำขนมที่ทำค้างไว้บนเตาต่อไป ในขณะที่สามีของลูกสาวนางยังคงนอนดูโทรทัศน์หลังจากมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้เกือบ 3-4เดือนแล้วโดยที่ยังคงไม่ได้ทำงานเหมือนเมื่อครั้งอยู่ที่กรุงเทพ...
สักพักหลานชายของนางก็วิ่งเข้ามาร้องเรียกอย่างที่เคยเรียกเพื่อขอเงินซื้อขนมกับนางเหมือนเช่นเคย
“แม่...ขอเงินซื้อขนมหน่อยแม่ ..”!?!
++++++++++
ไม่มีความเห็น