กลัวการกลืน
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงบทบาทของนักกิจกรรมบำบัดในการให้คำปรึกษาผู้ป่วยกลัวการกลืนได้ใน 21 วันทำอย่างไร
การกลัวการกลืนเป็นภาวะการกลืนลำบากที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในคนป่วย ซึ่งถ้าเรามาพิจารณาถึงสาเหตุการกลัวการกลืน จะสามารถแบ่งได้เป็น 2 สาเหตุหลัก นั่นคือ
จากสองสาเหตุเหล่านั้นทำให้เกิดเป็นบาดแผลในจิตใจ เมื่อต้องกลืนก็จะรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเหล่านั้นพัฒนาไปเป็นความกลัว จนท้ายที่สุดสามารถส่งผลให้เกิดเป็นภาวะวิตกกังวลจนถึงซึมเศร้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อในเชิงกายภาพ นั่นคือการได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ ร่างกายซูบผอม ไม่มีแรง สุขภาพไม่ดี จวบจนถึงผลกระทบต่อกิจกรรมการดำเนินชีวิตต่างๆ การเข้าร่วมทางสังคม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรากลัวที่จะกลืนอาหาร โอกาสที่เราจะออกไปรับประทานอาหารข้างนอกกับผู้อื่นก็จะลดลง เนื่องจากเราต้องทานอย่างช้าๆ ไม่กล้าพูดคุย ไม่กล้าสนทนาบนโต๊ะอาหารร่วมกับผู้อื่นเพราะกลัวว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการกลืน รวมทั้งถ้าอยู่ในจุดที่ไม่สามารถกลืนอาหารลงได้ จำเป็นต้องคายออก ก็จะรู้สึกอายเพื่อน ส่งผลให้ไม่อยากออกมาพบเจอกันบนโต๊ะอาหารอีก
จะเห็นได้ว่าการกลืนที่หลายๆคนมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆที่ไม่น่ายาก แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว ก็จะส่งผลกระทบต่อๆไป กล่าวได้ว่าเป็นจุดเล็กๆที่สามารถทำให้เกิดเป็นปัญหาใหญ่ กระทบต่อคุณภาพชีวิต (Quality of life) และความเป็นอยู่ที่ดี (Well being) ต่อบุคคลบุคคลหนึ่งได้กันเลยทีเดียว
สำหรับบทบาทนักกิจกรรมบำบัดในการให้คำปรึกษาผู้ป่วยกลัวการกลืน ใน 21 วัน ดิฉันจะเริ่มดังนี้
แรกเริ่มที่พบกัน (ก่อนให้คำปรึกษา)
เริ่มจากการประเมินผู้รับบริการ ค้นหาสาเหตุที่แท้จริง สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจที่เป็นเบื้องหลังของสาเหตุการกลัวการกลืนนี้ ด้วยเทคนิคทางกิจกรรมบำบัด การใช้ therapeutic use of self เพื่อสร้างสัมพันธภาพ ให้ผู้รับบริการเปิดใจ เชื่อใจ และไว้ใจ เป็นการปูทางสู่การร่วมกันตั้งเป้าประสงค์ในการบำบัด หาแนวทางแก้ไข และร่วมลงมือด้วยกันให้บรรลุเป้าหมายด้วยความยินดี
ในกรณีเมื่อประเมินแล้วพบว่าสาเหตุการกลัวการกลืนนี้มาจากประสบการณ์ที่มีต่อการกลืนที่เลวร้ายอันเนื่องมาจากการมีองค์ประกอบร่างกายที่มีคุณภาพไม่เต็มที่ทำให้ส่งผลต่อการกลืน การบำบัดรักษา ดิฉันได้เสนอให้มองเป็นสองส่วน คือ
โดยเราสามารถบำบัดทั้งสองส่วนนี้ไปพร้อมๆกันได้
ใน session แรกที่พบกัน หลังจากที่ได้ประเมินเชิงกายภาพและจิตใจของผู้รับบริการแล้ว เราสามารถตบท้าย session ในการพบเจอกันครั้งแรกด้วยเทคนิค MI (อาจทำมาเป็น process ควบคู่ตั้งแต่การประเมินสภาพจิตใจ) เพื่อให้ผู้รับบริการเกิดแรงกระตุ้นจากภายในที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกลัวการกลืนนี้ ทำให้ผู้รับบริการเชื่อมั่นในความรับผิดชอบและศักยภาพของตนเอง ส่งเสริมให้มีแรงจูงใจที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ก่อนจากกันใน session แรกอยากให้ทำการตรวจประเมินสภาพจิตใจของผู้รับบริการอีกครั้งว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือไม่ อาจทำผ่านการสัมภาษณ์ สอบถามว่ารู้สึกอย่างไร พร้อมหรือไม่ หรือผ่านการสังเกตสีหน้าท่าทาง เช่น ผู้รับบริการมีสีหน้าที่ดีขึ้นเมื่อพูดถึงแนวทางการบำบัดถัดไป ลักษณะการนั่งไม่หลังค่อม นั่งตัวตรง ไหล่ไม่โค้งงอหุบเข้า แววตามีประกายพอมีความมั่นใจและมีความหวัง เป็นต้น
วันที่ 1-2 : ตั้งเป้าหมายคือผู้รับบริการสามารถเริ่มต้นการฝึกกลืนได้ โดยมีสภาพจิตใจที่พร้อมต่อการฝึก ได้รับการแนะนำถึงเทคนิคการฝึกองค์ประกอบต่างๆเบื้องต้นที่ถูกต้องและเหมาะสม
ตอนเช้าก่อนมื้อเช้า
หลังตื่นนอน ก่อนแปรงฟัน
: แนะนำให้ผู้รับบริการบริหารลิ้น โดยอ้าปาก นำลิ้นออกมาแตะริมฝีปากบน ตามด้วยริมฝีปากด้านล่าง จากนั้นขยับลิ้นไปทางซ้าย และขวา หายใจนับ 1 2 3 และกลืน เป็นการฝึกลิ้นให้ลิ้นและปากทำงานไปในทางเดียวกัน
ในช่วงเวลานี้สามารถเพิ่มการบริหารริมฝีปากและแก้มถ้าสะดวก สามารถบริหารได้โดย
: ทั้งนี้ถ้าในห้องน้ำของผู้รับบริการมีกระจก การทำหน้ากระจกจะเป็นการให้ feedback ที่ดีต่อตนเอง
รวมทั้งแนะนำผู้รับบริการให้ไม่ลืมที่จะให้กำลังใจตนเองในทุกๆเช้าที่เริ่มการทำการบริหาร ถ้าอยู่หน้ากระจกอาจเป็นการยิ้มกว้างๆให้กับตัวเองในกระจก แล้วบอกกับตนเองว่าวันนี้จะทำอะไร และจะทำได้ดี เช่น วันนี้จะฝึกบริหารลิ้น ปาก แก้ม และเราจะทำมันได้ดีแน่นอน ทั้งนี้จะเป็นการให้พลังบวกเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง
แต่ถ้าหากภายในห้องน้ำของผู้รับบริการไม่มีกระจก ก็ไม่เป็นปัญหา ให้คำแนะนำผู้รับบริการเพิ่มเติมว่าสามารถหาวิธีการให้กำลังใจในแบบของตนเองได้ตามสบาย
: แนะนำให้ผู้รับบริการแปรงลิ้นจากโคนสู่ปลายช้าๆ เป็นการแนะนำเพื่อลดความรู้สึก เป็นการเตรียมตัวก่อนเจออาหารมื้อแรก ให้ผู้รับบริการฝึกการรับความรู้สึก ให้มีความทนทานต่อการสัมผัสเพิ่มขึ้นทีละน้อย
กรณีที่ผู้รับบริการควรได้รับการ stimulation ของ sensory (ทราบจากการประเมิน) แนะนำให้ผู้รับบริการใช้น้ำแข็งกระตุ้นการรับรู้อุณหภูมิและการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณที่กระตุ้น แนะนำให้ลองใช้ไม้พันสำลีจุ่มในน้ำรสชาติต่างๆ เพื่อกระตุ้นการรับรู้รสชาติ
ก่อนรับประทานอาหารมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น
แนะนำอาหาร
แนะนำเกี่ยวกับสภาพจิตใจ
แนะนำในการปฏิบัติตนของผู้รับบริการ
หลังรับประทานอาหารสามมื้อ
หลังทานอาหารครบสามมื้อในแต่ละวัน แนะนำให้ผู้รับบริการเช็คความพึงพอใจของตนเอง และไม่ลืมที่จะให้กำลังใจตนเอง กล่าวคำพูดเชิงบวก เช่น วันนี้ฉันทำได้ดีแล้ว หรือาจพูดคำพูดเชิงบวกเผื่อในวันถัดไป เช่น วันนี้ฉันทำได้ดีแล้วและในวันพรุ่งนี้จะทำได้ดีเช่นกัน
วันที่ 3-6 : ตั้งเป้าหมายให้ผู้รับบริการมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น ให้คำแนะนำในการกระตุ้น reflex เพื่อป้องกันเมื่อมีการสำลักที่อาจทำให้มีสิ่งแปลกปลอมหรือเศษอาหารเข้าไปในหลอดลม
**ในการให้คำแนะนำในการกระตุ้น reflex นี้ผู้รับบริการสามารถเลือกช่วงเวลาในการทำที่เหมาะกับการดำเนินชีวิตของตนเองได้ โดยเฉพาะในช่วงก่อนรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ
คำแนะนำสำหรับในช่วงเวลาอื่น
ตอนเช้าก่อนมื้ออาหาร
ก่อนรับประทานอาหารมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น
หลังรับประทานอาหารสามมื้อ
หลังรับประทานอาหารครบสามมื้อยังคงให้ผู้รับบริการเช็คความพึงพอใจของตนเอง ให้กำลังใจตนเอง กล่าวคำพูดเชิงบวกทั้งด้วยตนเองและตัวผู้บำบัดเป็นคนกล่าว (เป็น Emotional support ให้แก่ผู้รับบริการ)
วันที่ 7-14 : ตั้งเป้าหมายให้ผู้รับบริการมีสภาพจิตใจที่ดี มีความกลัวและกังวลต่อการกลืนลดลง เริ่มทำการให้คำแนะนำในการ grading ลักษณะและปริมาณอาหาร
ตอนเช้าก่อนมื้อเช้า
**ในการบำบัดเรื่อง sensory ที่มีการใช้สำลี ไม้กดลิ้นออกแรงกดต่างๆ ผู้รับบริการสามารถเลือกช่วงเวลาในการทำที่เหมาะกับเวลากิจวัตรประจำวันของผู้รับบริการได้ เนื่องจากเป็นเพียงคำแนะนำโปรแกรมการฝึกเท่านั้น แต่การทำก่อนที่จะรับประทานอาหาร คาดว่าจะสามารถเสมือนให้อวัยวะ การรับความรู้สึกต่างๆได้วอร์มอัพก่อนรับประทานอาหารที่เป็นมื้ออาหารจริงๆ ซึ่งสามารถส่งผลทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น
ก่อนรับประทานอาหารมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น
แนะนำอาหาร
กรณีเครื่องดื่ม เริ่มจาก
4 : เหลวหนืดมาก สามารถทานโดยใช้ช้อนหรือส้อมได้แต่ไม่สามารถดื่มจากแก้มหรือใช้หลอด ไม่จำเป็นต้องเคี้ยว สามารถขึ้นรูป จับตัวเป็นก้อนได้ เช่น โยเกิร์ตชนิดตักเป็นพุดดิ้ง
3 : หนืดปานกลาง สามารถดื่มจากแก้วได้ ดูดผ่านหลอดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6.9 มิลลิเมตรได้ เช่น น้ำผึ้ง น้ำเชื่อมเข้มข้น น้ำผมไม้เข้มข้น สมูตตี้
2 : หนืดน้อย สามารถไหลจากช้อนได้ จิบได้ เทออกจากช้อนได้เร็ว แต่ช้ากว่าของเหลวระดับ 1(จะกล่าวต่อไป) และสามารถดูดผ่านหลอดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5.3 มิลลิเมตรได้ เช่น นมเปรี้ยว นมขาดมันเนย
1 : หนืดเล็กน้อย ลักษณะหนืดกว่าน้ำ ต้องใช้แรงในการดูดหรือดื่มมากกว่าระดับ 0(จะกล่าวต่อไป) สามารถไหลผ่านหลอดกระบอกฉีดย่และจุกนม เช่น น้ำข้าว น้ำผลไม้
0 : เหลว/ไม่หนืด ลักษณะไหลเหมือนน้ำ ไหลเร็ว สามารถดูดได้จากจุกนม ดื่มจากแก้ว ดูดจากหลอดได้ เช่น น้ำเปล่า น้ำสมุนไพร น้ำหวานเจือจาง น้ำผลไม้เจือจาง น้ำซุบใสกรอง
กรณีอาหาร เริ่มจาก
3 : อาหารเหลวข้น เนื้อสัมผัสเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่จับตัวกันเป็นก้อน กลืนได้โดยไม่ต้องเคี้ยว ตักด้วยส้อมไม่ได้ เช่น ซุปข้น
4 : อาหารบดละเอียด เนื้อเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีการแยกชั้นของเหลวและเนื้ออาหาร รับประทานโดยใช้ส้อมตักได้ ขึ้นรูปจับเป็นก้อน เทให้เป็นสายไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเคี้ยว ไม่มีก้อน ไม่เหนียว เช่น เต้าฮวย สังขยา ไข่ตุ๋น ข้าวบดละเอียด
5 : อาหารสับละเอียดและชุ่มน้ำ มีลักษณะนิ่ม อรอน ชุ่มชื้น ไท่มีของเหลวใสแยก ตักเป็นก้อน เป็นรูปต่างๆได้ วางในจานได้ อาจเป็นชิ้นเล็กๆ(สำหรับเด็กไม่เกิน 2 มิลลิเมตร สำหรับผู้ใหญ่ไม่เกิน 4 มิลลิเมตร) ใช้ลิ้นบดก่อนอาหารได้ง่าย เช่น เนื้อสัตว์บดละเอียด มันบด กล้วยบด ไข่ตุ๋น ข้าวตุ๋นบดละเอียด โจ๊ก
6 : อาหารอ่อนและชิ้นเล็ก ลักษณะอ่อนนุ่ม ชุ่มชื้น ไม่มีของเหลวใสแยกออกมา ชิ้นพอดีคำ (สำหรับเด็กไม่เกิน 6 มิลลิเมตร สำหรับผู้ใหญ่ไม่เกิน 15 มิลลิเมตร) ไม่จำเป็นต้องเคี้ยวก่อนกลืน เช่น เนื้อสัตว์ตุ๋นเปื่อย ผักต้มจนเปื่อย ผลไม้เนื้อนิ่มไม่มีเม็ด
7 : อาหารธรรมดา อาหารปกติทั่วไปเหมาะตามแต่ละช่วงวัย รับประทานได้ด้วยอุปกรณ์ทุกชนิด อาจแข็งหรือกรอบนุ่มก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดของเนื้อสัมผัส
เพิ่มเติม : อาหารแปรสภาพได้ คืออาหารที่เปลี่ยนแปลงเนื้อสัมผัสได้ หรือละลานได้เมื่อผสมของเหลว น้ำลาย หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ เช่น น้ำแข็ง ไอศกรีม เยลลี่ฝึกกลืน ข้าวเกรียบ ทั้งนี้อาหารแปรสภาพนี้สามารถใช้ได้กัยอาหารระดับ 5-7
**อิงจาก IDDSI
แนะนำเกี่ยวกับสภาพจิตใจ
ในช่วงวันนี้ต้องการเน้นไปที่การทำให้ผู้รับบริการมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น มีความกังวลและความกลัวต่อการกลืนที่ลดลง ซึ่งถ้าจากวันที่ผ่านมามี progress ดีคาดว่าจะสามารถทำให้ผู้รับบริการมีความรู้สึกเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองมากขึ้น แต่ถ้าหากผู้รับบริการยังมีอาการกลัวและกังวลอยู่ ก็ยังคงสามารถให้ทำเทคนิค Emotional freedom tapping หรือเทคนิคคลายกังวลต่างๆเช่น deep breathing , box breathing ก่อนรับประทานอาหาร
อาจมีการพูดคุยหรือสัมภาษณ์ สอบถามเพิ่มเติมถึงความพึงพอใจในการทำ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าที่ความกลัวหรือกังวลไม่ลดลงแม้จะมี progress ของ performance ที่ดีขึ้น เป็นเพราะการแนะนำของผู้บำบัดไม่เป็นผล ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ควรปรับเปลี่ยนวิธีเพื่อควบคุมความกังวลต่อไป ในบางกรณีอาจมาในรูปแบบของการปรับความคิด ใช้เทคนิค CBT ในการปรับมุมมองความคิดของผู้รับบริการ หรือผู้รับบริการอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัย และจะรู้สึกดีมากกว่าถ้ามีอะไรเชิงกายภาพและจับต้องได้เข้ามารับรองความปลอดภัยในการกลืน เช่นมีการวอร์มอวัยวะก่อนกลืนตามผู้บำบัด การได้รับเทคนิค compensate ในการกลืน การมีคนที่สบายใจอยู่ได้เพื่อให้ความช่วยเหลือ เป็นต้น ทั้งนี้ขั้นอยู่กับประเภทของผู้รับบริการแต่ละบุคคล ซึ่งผู้บำบัดควรมีทักษะในการปรับตัว ยืดหยุ่น และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้รับบริการ
แนะนำในการปฏิบัติตนของผู้รับบริการ
หลังรับประทานอาหารสามมื้อ
หลังรับประทานอาหารครบสามมื้อยังคงให้ผู้รับบริการเช็คความพึงพอใจของตนเอง ให้กำลังใจตนเอง กล่าวตำพูดเชิงบวกทั้งด้วยตนเอง และตัวผู้บำบัดเป็นคนกล่าว (เป็น Emotional support ให้แก่ผู้รับบริการ)
วันที่ 15-16 : ตั้งเป้าหมายให้ผู้รับบริการมีสภาพจิตใจที่ดี ไม่มีการกังวล หรือกลัวต่อการกลืน กรณีที่ยังมีอยู่จะกระตุ้นให้ผู้รับบริการสามารถจัดการกับมันให้ได้
ในช่วงวันช่วงนี้ ดิฉันตั้งเป้าหมายให้ผู้รับบริการเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง ไม่มีความกังวลหรือกลัวต่อการกลืนอยู่ แต่ในกรณีที่ยังพอมีอยู่บ้าง ก็จะกระตุ้นให้สามารถจัดการได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีคนคอยแนะนำเพื่อให้พร้อมสู่การกลับไปรับประทานอาหารในบริบทเดิมด้วยตนเอง โดยจะ
วันที่ 17-19 : ตั้งเป้าหมายให้ผู้รับบริการมี performance ในการกลืนที่เหมือนกับบริบทก่อนหน้า ลักษณะการกินแต่เดิม ลดการ compensate ท่าทางต่างๆลง (ในกรณีที่ component ต่างๆไม่มีข้อบกพร่องให้ต้องมีการจำเป็นในการใช้การ compensate)
ตอนเช้าก่อนมื้ออาหาร
ก่อนมื้ออาหารทั้งสามมื้อ
หลังรับประทานอาหารสามมื้อ
หลังรับประทานอาหารครบสามมื้อยังคงให้ผู้รับบริการเช็คความพึงพอใจของตนเอง ให้กำลังใจตนเอง กล่าวตำพูดเชิงบวกทั้งด้วยตนเอง และตัวผู้บำบัดเป็นคนกล่าว (เป็น Emotional support ให้แก่ผู้รับบริการ)
วันที่ 20-21 : ตั้งเป้าหมายให้ผู้รับบริการได้ทำการรับประทานอาหารในบริบทจริง ในบริบทเดิมที่เคยเป็น
ตอนเช้าก่อนมื้ออาหาร
ก่อนและหลังมื้ออาหารทั้งสามมื้อ
จนท้ายที่สุด ผู้รับบริการสามารถรับประทานอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข :)
ไม่มีความเห็น