Phagophobia หรือ ภาวะการกลัวการกลืน เป็นรูปแบบหนึ่งของ Anxiety disorder
ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวล ความกลัวก่อนที่กลืนอาหารโดยความกลัวเหล่านี้หลายครั้งผู้ป่วยเองก็ไม่สามารถหาคำอธิบายเชิงตรรกะที่แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาออกมารวมถึงการไม่สามารถควบคุมความกลัวนั้นได้ ผลที่ตามมาและหากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยสามารถประสบภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่ขาดดุลในบางกรณีความกลัวน้อยอาจนำไปสู่การขาดความสนใจในอาหารการลดน้ำหนักอย่างรุนแรงหรือเบื่ออาหาร.
นักกิจกรรมบำบัดนั้นมีเป้าหมายในการส่งเสริม ช่วยเหลือให้ผู้รับบริการมีสุขภาวะที่ดีในการดำรงชีวิต สามารถทำกิจกรรมที่มีคุณค่าและเป้าหมายได้ด้วยตนเองอย่างอิสระและมีประสิทธิภาพ ท้ายที่สุดคือต้องการให้ผู้รับบริการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่ง “การกิน” คือ1ในกิจวัตรประจำวันที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยในบทความนี้จะพูดถึง “บทบาทนักกิจกรรมบำบัดในการให้คำปรึกษาผู้ป่วยกลัวการกลืนใน21วัน”
โดยในส่วนนี้จะอธิบายถึงวิธีการบำบัดผู้ป่วยตลอด21วัน ซึ่งเทคนิคที่เราจะใช้คือ การสร้างแรงจูงใจและเป้าหมายในการฝึกให้คนไข้ผ่านการสัมภาษณ์ เน้นสร้างสัมพันธภาพโดยใช้ผู้บำบัดเป็นสื่อ(Therapeutic use of self) การปรับความคิดความเข้าใจ(Cognitive reconstruction) เพื่อให้คนไข้เข้าใจถึงการกลืนที่ไม่จำเป็นต้องบังคับร่างกายมากเกินไป ให้เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการกลืน และเทคนิคการลดความไวต่อการรับความรู้สึก(Sensory Desensitization) ร่วมไปกับเทคนิคในการลดความกังวล ซึ่งอ้างอิงจากหนังสือกิจกรรมการดำเนินชีวิตจิตเมตตา โดย ผศ.ดร.ก.บ. ศุภลักษณ์ เข็มทอง ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ตำรากิจกรรมบำบัดจิตเมตตา
วันที่1:เน้นการประเมินทางกิจกรรมบำบัด สำรวจความกลัว
ก่อนเริ่มการบำบัดสิ่งที่เราจะทำก่อนคือการตรวจประเมินทางกิจกรรมบำบัด ดูเรื่องของ
การประเมินข้างต้นเพื่อสะท้อนว่ามีความผิดปกติทางกาย หรือมีปัญหาที่จิตใจกังวลสะสมความเครียดจากปัญหาการกลืนในอดีต จากนั้นให้ผู้รับบริการให้คะแนนตนเองในด้านต่างๆดังนี้ความกลัว 1-10 (1คือกลัวน้อยและ10คือกลัวมาก) ความมั่นใจ1-10(1คือมั่นใจน้อย10คือมั่นใจมาก) เราจะนำคะแนนตรงนี้มาเปรียบเทียบกับวันสุดท้ายของการฝึกเพื่อดูพัฒนาการของผู้รับบริการ
วันที่2-6:เน้นไปที่การลดความกังวลก่อนมื้ออาหาร ฝึกสติในการกลืน และลดความไวในการรับสัมผัสในช่องปาก และให้เทคนิคผ่อนคลายกล้ามเนื้อลดความตึงตัวเพิ่มการผ่อนคลาย
ก่อนมื้ออาหาร เพิ่มการรับรู้สติโดยให้ผู้รับบริการหลับตา3นาที หายใจเข้าออกช้าๆ คิดตอบด้วยตนเองในใจ “เรากังวลเรื่องอะไร...ถ้าไม่กังวลเรามั่นใจในเรื่องอะไร” เมื่อลืมตา ให้ผู้รับบริการพูดให้กำลังใจตัวเอง ว่า “มั่นใจ” 3ครั้ง “ทำได้” 3ครั้ง จากนั้นจึงเริ่มการบำบัดโดยนักกิจกรรมบำบัด
หลังมื้ออาหาร เชิญชวนให้ผู้รับบริการทำprogressive muscle relaxation เริ่มจากให้นอนในท่าที่สบายที่สุด ให้ผู้รับบริการผ่อนคลายที่สุด เริ่มให้ผู้รับบริการเกร็งบริเวณหน้าผาก10วินาที จากนั้นคลายออก ไล่ลงมาบริเวณไหล่ ทำเหมือนเดิมคือ เกร็ง10วินาทีและคลายออก ทำเหมือนเดิม กับ แขน ท้อง ขา เมื่อเสร็จสิ้นแล้วให้ผู้รับบริการนอนกำหนดลมหายใจต่ออีก30วินาที แล้วค่อนลุกขึ้นได้ วิธีนี้จะช่วยลดความเกร็ง ความเครียดของการฝึกวันแรกได้ เพราะการฝึกวันแรกผู้รับบริการอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ ยังมีการเกร็งอยู่
นอกจากprogramข้างต้นแล้วสามารถแนะนำเรื่องของการใช้ยาสีฟันรสเกลือแก่ผู้รับบริการเพื่อกระตุ้นต่อมรับรสให้มีความอยากอาหารมากขึ้น เพิ่มแรงจูงใจในการฝึก รวมถึงการฝึกข้างต้นหากไม่มีผู้บำบัดอยู่ด้วย เช่นผู้รับบริการมีผู้ดูแลฝึกให้ ก็แนะนำว่าการฝึกกลืนอาหารผิวสัมผัสง่ายไปยาก ให้ฝึกมื้อนึงไม่เกิน5คำ ก็เพียงพอ หากฝึกมากเกินไปจะทำให้เกิดความล้า และวิตกกังวลกับการทำให้เร็จมากเกินไปได้
วันที่7-10 : เน้นไปที่การสร้างแรงจูงใจ การตั้งเป้าหมาย และกระตุ้นการทำงานของสมองเพื่อให้จิตจดจ่อรับรู้สึกจากการกลืน
ประเมินเรื่องของความไวในการรับความรู้สึกในช่องปาก หากมีprogressionที่ดีขึ้น ก็ลดการฝึกในส่วนของ sensory desensitizationก่อนมื้ออาหารได้
ในวันที่6เป็นต้นไป ผู้รับบริการอาจจะมีอารมณ์ที่ลบเพราะกดดันจากการต้องการฝึกให้สำเร็จใน5วันที่ผ่านมาดังนั้น ก่อนเริ่มมื้ออาหาร
แนะนำให้ผู้รับบริการออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นความอยากอาหารรวมถึงกระตุ้นการเผลาผลาญพลังงานของร่างกายด้วย
วันที่11-15 : เน้นไปที่การเสริมสร้างแรงจูงใจเพื่อสำเร็จเป้าหมาย การให้รางวัลตัวเอง สร้างความมั่นใจ และกระตุ้นการทำงานของสมองกับจิตจดจ่อรับรู้สึกนึกคิดผ่านการเคี้ยวกลืน
ก่อนมื้ออาหาร
จากsessionที่แล้วที่ให้ผู้รับบริการเขียนรายการอาหารที่อยากทานแต่ยังไม่กล้าทาน ครั้งนี้ผู้บำบัดถามความมั่นใจและความพร้อมในการทานอาหารเหล่านั้น เมื่อผู้รับบริการมีความมั่นใจจึงออกไปซื้อมาเพื่อใช้ในการฝึก
ก่อนทานอาหาร เริ่มใช้นิ้วโป้งสัมผัสข้อต่อกรรไกร ดันนิ้วชี้ไปตรงๆที่ปลายคาง ขยับนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้ก้มคอเล็กน้อย ให้กลองตามองลงพื้น แล้วกลืนน้ำลายเล็กน้อย เงยหน้าตรงใช้ปลายลิ้นแตะตรงกลางเพดานใกล้ฟันบน ใช้นิ้วกลางแตะดันใต้คางเพื่อกระตุ้นน้ำลายชนิดใสแล้วไล่ไปใกล้กับกกหู จนถึงใต่ต่อขากรรไกรล่าง เพื่อกระตุ้นน้ำลายชนิดข้น เพื่อเสร็จแล้ว ให้ใช้อาหารที่ผู้รับบริการอยากทาน ตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ วางลงกลางลิ้น ให้ผู้รับบริการเคี้ยวละเอียดเป็นก้อนแล้วกลืน สามารถจิบน้ำช่วยได้ เมื่อทานสำเร็จครบ5คำ กล่าวชื่นชมผู้รับบริการ และให้ผู้รับบริการชื่นชมตนเอง ในแต่ละวันให้ผู้รับบริการใช้อาหารที่อยากทานและฝึกเหมือนเดิม สิ่งที่เราจะได้มากกว่าการฝึกนั่นคือความสุขที่เราและผู้รับริการได้รับเมื่อได้ทานอาหารที่ชอบและอยากทานที่เขาไม่ได้ทานมานาน รวมถึงการที่ผู้รับบริการได้ทำอาหารที่ชอบสำเร็จทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น
หลังมื้ออาหารให้ผู้รับบริการเดินช้าๆไปมาเพื่อกระตุ้นการเผลาผลาญ ให้ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีนออกมา กระตุ้นให้พรุ่งนี้และวันต่อๆไปมีความอยากอาหารและมีแรงจูงใจในการฝึก
นอกจากนี้ผู้รับริการสามารถแนะนำกิจกรรมที่นอกเหนือจากการทำกิจวัตรประจำวันที่ผู้รรับริการอาจจะชอบทำเช่น อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ ออกกำลังกาย ให้ผู้รับบริการทำในแต่ละวันเพื่อให้คลายกังวล ไม่ต้องคิดหรือวิตกจดจ่อกับการฝึกตลอดเวลา การได้ทำกิจกรรมเหล่านั้นนอกจากจะช่วยทำให้เลิกคิดหมกหมุ่นจดจ่อแล้วยังได้เพิ่มพลังใจได้พักผ่อนและได้ให้รางวัลแก่ร่างกายตนเองอีกด้วย
วันที่16-20 : เน้นเทคนิคcognitive reconstruction ลดความกลัวให้ผู้รับบริการเพิ่มความกล้าในการกลืน และการฝึกการหายใจลดกังวล เพื่อให้ผู้รับบริการเข้าใจถึงการหายใจที่สัมพันธ์ตามธรรมชาติกับการกลืน
ประเมินความอยากอาหารและความมั่นใจในการกลืน หากผู้รับบริการมีความมั่นใจมากขึ้นจากครั้งที่แล้ว ให้ลดเทคนิคในส่วนของการกระตุ้นการทำงานของสมองกับจิตจดจ่อในการเคี้ยวกลืนอาหารของsessionที่แล้ว
ผ่านการฝึกมา15วัน ร่างกายของผู้รับบริการอาจจะเหนื่อยล้าและเกิดความคิดหรืออารมณ์ที่ลบได้ดังนั้นก่อนเริ่มมื้ออาหารจึงให้ผู้รับบริการให้คะแนนความวิตกกังวล0-10 ถ้า0คือไม่กังวลเลย และ10คือกังวลมากที่สุด หากผู้รับบริการมีความกังวลมากกว่า6 ในผู้รับบริการจัดการปรับอารมณ์ความรูสึกกังวลใจ ผ่านการให้กำลังใจและฝึกหายใจลดความกังวล โดยก่อนทานอาหาร ให้เป่าลมหายใจออกทางปากยาว ๆ 10 รอบช้า ๆ มือแตะที่หัวใจ จากนั้นให้หายใจเข้าทางจมูกลึก ๆ หายใจออกทางจมูกยาวๆ นับให้ตัวเองได้ยิน 1-10 และพูดให้ตัวเองได้ยินว่า “หายกลัว" 3 รอบ “มั่นใจ” 3 รอบ
ในวันที่16-20 จะฝึกให้ผู้รับบริการทานอาหารที่อยากทานเต็มมื้อ โดยไม่ต้องทานอาหารปั่นเหลวซึ่งผู้รับบริการอาจจะไม่ได้ชอบ แต่จำเป็นต้องทานเพราะเมื่อก่อนมีภาวะการกลัวการกลืน
เมื่อทานอาหารเสร็จหลังมื้ออาหารผู้บำบัดชวนผู้รับบริการทำrelaxationผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดความตึงตัว และเพิ่มการเผลาผลาญของร่างกาย เพราะนี่คือมื้ออาหารแห่งความสุขที่ผู้รับบริการได้ทานอาหารที่เขาอยากทานมานานแต่ไม่มีความกล้าที่จะทาน วันนี้เขาได้ก้าวข้ามความกลัว และสามารถทานได้สำเร็จ เริ่มจากการนั่งในท่าผ่อนคลาย เอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยหลับตาลงและกำหนดลมหายใจเข้า ออก ช้าๆ จากนั้นให้เลื่อนมือขึ้นมาลูบที่ท้องและกล่าวขอบคุณตนเอง3ครั้ง เลื่อนมือขึ้นมากอดตัวเองท่าผีเสื้อ กล่าวขอบคุณตัวเอง3ครั้ง จากนั้นลืมตาได้
ผู้บำบัดกล่าวชื่นชมผู้รับบริการด้วยความจริงใจ และให้คำแนะนำ home programแก่ผูรับบริการและผู้ดูแลในเรื่องของอาหารที่ทานควรทานอาหารให้ครบ5หมู่ มีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถทานของหวานเพื่อให้รางวัลแก่ตัวเองได้ รวมถึงสอนวิธีการเคาะอารมณ์เพื่อที่เวลาผู้รับบริการเกิดความกังวลหรืออารมณ์ลบจะได้สามารถจัดการคลายอารมณ์ลบของตนเองได้
วันที่21 :เน้นประเมินความพร้อมในการกลืนอาหารด้วยตนเอง ชื่นชนตนเองด้วยหัวใจ เน้นการสัมภาษณ์เพื่อให้ผู้รับบริการได้เกิดการคิดวิเคราะห์และมีความมั่นใจในตนเอง
ในวันสุดท้ายก่อนมื้ออาหารให้ผู้รับบริการสะท้อนความคิดและความวิตกกังวล ความกลัวของตนเองออกมา เริ่มจากผู้บำบัดถามคะแนนความกลัว 1-10 (1คือกลัวน้อยและ10คือกลัวมาก) ความมั่นใจ1-10(1คือมั่นใจน้อย10คือมั่นใจมาก) เปรียบเทียบกับวันแรกที่ประเมิน ให้ผู้รับบริการสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาทั้ง20วัน ผู้บำบัดกล่าวชื่นชมด้วยใจจริงแก่ผู้รับบริการ
หลังจากนั้นให้ผู้รับบริการทานอาหารด้วยตนเอง โดยมีผู้บำบัดคอยดูแลอย่างใกล้ชิด กระตุ้นให้ผู้ป่วยนำเทคนิคที่ผ่านมามาใช้ เช่น การอังจมูกเพื่อรู้ลมหายใจและสติของตน การก้มคอเล็กน้อยช่วยให้กลืนอาหารได้ง่าย เป็นต้น
หลังมื้ออาหารให้ผู้รับบริการเดินไปมาช้าๆ กำหนดลมหายใจตลอดการเดิน เพื่อเพิ่มการเผาผลาญของร่างกาย ให้ร่างกายสดชื่นได้เคลื่อนไหวบ้าง หลังจากนั้นใช้การสัมภาษณ์เพื่อดูความพร้อมความมั่นใจของผู้รับบริการ รวมทั้งใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้รับบริการฝึกคิดเผชิญปัญหาและวิธีการจัดการ
ตัวอย่างคำถามเช่น “จากวันแรกจนถึงวันนี้มีอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับคุณ” “ถ้าคุณมีความวิตกกังวลขึ้นมาคุณจะจัดการอย่างไร” เป็นต้น
จากนั้นผู้บำบัดให้ผู้รับบริการกล่าวชื่นชมและขอบคุณตนเอง สุดท้ายคือยุติบทบาทของผู้บำบัดลงอย่างสุภาพ กล่าวชื่นชม ขอบคุณผู้รับบริการ
และนี่คือแนวทางของการบำบัดผู้ป่วยที่มีภาวะกลัวการกลืน ใน21วัน ขอบคุณความรู้และเทคนิคมากมายจากตำรากิจกรรมบำบัดจิตเมตตาของอาจารย์ ศุภลักษณ์ เข็มทอง และขอขอบคุณผู้อ่านด้วยใจจริง ขอบคุณมากครับ
กฤษณพัชร์ น่วมมะสิงห์ นักกิจกรรมบำบัดปีที่ 3 รหัสนักศึกษา6223005
ไม่มีความเห็น