ผู้ประท้วงอยู่ข้างหลัง, และคนโกรธแค้นอยู่ข้างหน้า ในขณะที่รัฐบาลผิดพลาดเรื่องโควิด


ในอากาศที่หนักอึ้ง พร้อมกับแรงกดดันจากฝนตกและความไม่พอใจ ตำรวจปราบจลาจลในกรุงเทพฯได้ปล่อยห่ากระสุนยางและแก๊สน้ำตา ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ซึ่งเป็นทายาทของครอบครัวที่ค้าที่ดิน ยืนอยู่บนรถบรรทุก ในตอนนั้นเขาได้เขียนบันทึกถึงผู้นำของประเทศไทยสำหรับการตอบรับที่ไม่ดีในเรื่องการระบาดของโรค

ต่อมา มีวัตถุที่เป็นของแข็ง บางทีอาจเป็นกระป๋องของแก๊สน้ำตา, ยิงที่ขวาของเขา ทำให้เรตินาขาดหายไป คุณธนัตถ์ ครั้งหนึ่งเคยสนับสนุนการรัฐประหารปี 2014 ซึ่งทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทโอชา ที่ตอนนี้เป็นนายกฯมาสู่อำนาจ ตัวเขากล่าวว่าการเกิดขึ้นในวันที่ 13 เดือนสิงหาคม ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดไปเลย

เขากล่าวว่า “ฉันอาจตาบอด แต่ตอนนี้ฉันเข้มแข็งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันเห็นสิ่งชัดเจนกว่าแต่ก่อนมากมาย ผู้คนรู้เป็นเวลานานมาแล้วว่ารัฐบาลนี้ไร้ประสิทธิภาพขนาดไหน โรคระบาดโควิดเป็นหลักฐานและข้อพิสูจน์

ประเทศไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่กันโรคได้ แต่ตอนนี้กลับมาเป็นรัฐบาลที่หลงระเริงในอำนาจ และการขาดความรับผิดชอบของรัฐบาลกลับทำให้โรคระบาดเผยกว้างมากเข้าไปอีก ปีนี้ มากกว่าคน 12,000 ต่างตายไปด้วยโควิด 19 ซึ่งเปรียบเทียบกับการระบาดในรอบร้อยปี เศรษฐกิจปีนี้ย่ำแย่มาก ซึ่งการท่องเที่ยวไม่เกิดผลและการผลิตเติบโตอย่างช้าๆ

ผู้โกรธขึ้นกำลังขยายตัวออกไป เพียงแต่ไม่ลงบนถนนเท่านั้น พวกฝ่ายค้านพยายามจะไม่ไว้พลเอกประยุทธ์ เพราะกล่าวหาว่าเขาบริหารงานอย่างเชื่องช้าในการทำให้ประเทศไทยต่อสู้กับโรคระบาดโคโรนาไวรัสแต่เพียงลำพัง ความไม่ไว้วางใจไม่สามารถทำได้ในวันเสาร์ ถึงแม้ว่าพันธมิตรของเขาอาจสนับสนุนการขับไล่เขาก็ตาม

วัคซีนในหน้าร้อนเปิดมาอย่างล้าช้า เพราะไม่สามารถส่งตัวให้ตรงเวลาได้ บริษัท หรือสยาม ไบโอไซน์ซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการทำวัคซีนเลยให้สัญญาว่าจะผลิตวัคซีนให้พอภายในประเทศ ความผิดพลาดของรัฐบาลในการได้รับวัคซีนที่นำเข้ายิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก มีเพียง 15% ของประชากรเท่านั้นที่ได้รับวัคซีน และก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางสังคมที่วัยรุ่นรวยได้กดขี่ประชาชนที่จนและแก่กว่าตนเอง

ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล ซึ่งเกิดขึ้นประจำวัน กำลังสิ้นหวังเข้าทุกที แต่การป้องกันของตำรวจยิ่งก้าวร้าวมากขึ้น ในเดือนสิงหาคม อย่างน้อยมีผู้ประท้วง 10 คนถูกสลายด้วยการใช้กำลัง ครั้งหนึ่ง เด็กอายุ 15 ถูกยิง และต้องอยู่ในภาวะวิกฤต ตำรวจปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้กระสุนยิง

หมอทศพร เสรีรักษ์ ซึ่งเป็นโฆษกของรัฐบาลที่ถูกรัฐประหาร กล่าวว่า “ตอนแรก ผู้คนยังไม่ออกมาประท้วงเพราะกลัวโควิด แต่ตอนนี้ความคิดเปลี่ยนแปลงไป คุณอาจอยู่บ้าน และคุณอาจตายเมื่อไรก็ได้ เพราะความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในการดูแลประชาชน”

ยิ่งไปกว่านั้น องค์กรประชาสังคมมากมาย เช่น องค์การนิรโทษสากล และองค์กรสิทธิมนุษยชน ต่างใช้จดหมายในการใช้อำนาจเพื่อแสดงให้เห็นถึงการยับยั้งมากกว่าอย่างอื่น

จดหมายถึงพลเอกประยุทธ์ มีว่า “พวกเรารู้สึกไม่สบายใจที่เห็นการโต้ตอบของของตำรวจควบคุมฝูงชนที่ไม่ได้สัดส่วนต่อผู้ประท้วง พวกเรายังเป็นห่วงถึงการกัดขังแบบหว่านล้อมของผู้นำการประท้วงที่ต้องเจอกับข้อหาอาชญากรรม และไม่ได้รับการประกันตัว”

พลเอกประยุทธ์ ที่เมื่อก่อนเคยรับราชการทหารและปฏิวัติมาแล้ว 7 ปี ตอนนี้มุ่งมั่นแต่การกระชับอำนาจไว้ในมือของตนเอง โดยการอ้างว่าการรวบอำนาจมาอยู่ในมือคนๆเดียวเป็นสิ่งจำเป็นในการต่อสู้กับโรคระบาด

เขาพยายามตัดเสียงวิจารณ์โดยการออกสถานการณ์ฉุกเฉิน และการวิจารณ์ที่เป็นอาชญากรรม มีคนหลายคนถูกจับด้วยข้อหาปลุกปั่น และอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ รวมถึงการวิจารณ์กษัตริย์ด้วย

ผู้นำฝ่ายค้าน เช่น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกข้อหาหมิ่นกษัตริย์ หลังจากเขาถามว่าทำไมสยามไบโอ หรือบริษัทในพระองค์ จึงให้สัญญาว่าจะผลิตวัคซีนให้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเมื่อไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน

การต่อต้านอันต่อมา ยิ่งเล็กแต่ก็โกรธมากขึ้น ได้เกิดขึ้นในจังหวัดที่มีธุรกิจอยู่ คนขับมอเตอร์ไซค์ได้ใช้กระดาษสีขาวบังแผ่นป้ายทะเบียน และหมวกกันน็อกได้ปิดบังใบหน้า ผู้ประท้วงคนอื่นๆได้ซ่อนหน้าด้วยหมวกไหมพรม ไม่มีใครต้องการจะเปิดเผยว่ากับคนอื่นๆว่าเหตุใดจึงต้องมาที่ตรงนี้

แก๊สน้ำตาเริ่มต้นยิงตอนพลบค่ำ และตำรวจได้ใช้น้ำสีม่วงเพื่อให้รู้ว่านี้เป็นคนประท้วง มีเสียงบูมดังกระหึ่ม และกลุ่มควันได้ลอยกลางอากาศ ในขณะที่ผู้ประท้วงต่างกระจายไป เมื่อคืนนั้นสิ้นสุดลง ตำรวจควบคุมฝูงชนบาดเจ็บเพียง 1 ในขณะที่ผู้ประท้วงถูกกระหน่ำด้วยความทารุณ

นายธนัตถ์ ที่ตาบอดเมื่อเดือนที่แล้ว ได้ทำให้คนมีเงิน กับคนไม่มีเงินรวมตัวกันได้อีกครั้งหนึ่ง เขากล่าวว่าเพื่อนของเขาบางคนก็เข้าร่วมกับการประท้วงนี้ด้วย โดยการเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ แทนที่จะเป็นนั่งในรถหรูๆอย่าง Rolls-Royces หรือ Maybachs

แต่ผู้ประท้วงส่วนใหญ่เป็นคนใช้แรงงาน และได้รับผลกระทบการจากระบาด Nipapon Somnoi กล่าวว่า ลูกชายของเธอ ชื่อ Warit Somnui อายุ 15 ตัดสินใจที่จะออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยครอบครัว แต่เธอไม่ยอม

เด็กผู้ชายสุดท้ายแล้วเข้าร่วมประท้วงในกลางเดือนสิงหาคม มีคลิปจากวิดีโอที่เธอไม่สามารถจะดูได้ ในคลิปนั้นแสดงให้เห็นถึงวินาทีที่กระสุนถูกยิงลงคอของเขา และ การสแกน CT ยืนยันว่าร้าวไปถึงกระดูกสันหลัง ตำรวจย้ำแล้วย้ำอีกว่าเจ้าหน้าที่ไม่เคยใช้กระสุนจริง Nipapon กล่าวว่าเธอไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อไป

ลูกชายของเธออยู่ในภาวะโคมามาได้ 2 อาทิตย์ เธอกังวลเพราะว่าครอบครัวของเธอไม่รวยและไม่มีชื่อเสียง ชะตากรรมของเขาอาจถูกลืม

เธอกล่าวว่า “บางครั้งฉันคิดว่าลูกกระสุนแก๊สน้ำตาสามารถซื้อวัคซีนดีๆได้ 6-8 โดส รัฐบอกพวกเราว่าเราอยู่ในประชาธิปไตย แต่เราได้แต่ฟังรัฐเท่านั้น”

เมื่อปลายเดือนที่แล้ว เธออยู่ในโรงพยาบาล เฝ้าดูแลแต่กับลูก พร่ำถามว่าเขาได้ยินเสียงเธอหรือไม่?

เธอกล่าวว่า “มีบางขณะเมื่อฉันเรียกชื่อของเขา และเห็นเปลือกตาของเขาเผยอขึ้น มีน้ำตาไหลออกมาจากตาคู่นั้น แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

 บทความนี้ตีพิมพ์ใน The New York Time

แปลและเรียบเรียงจาก

Protestor are back, and angrier, as govt fumbles on Covid.

https://www.bangkokpost.com/thailand/politics/2177227/protesters-are-back-and-angrier-as-govt-fumbles-on-covid

หมายเลขบันทึก: 692465เขียนเมื่อ 17 กันยายน 2021 18:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 กันยายน 2021 18:53 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท