ประชุมเวทีอบรมพัฒนาศักยภาพครอบครัวชาติพันธุ์ วันที่ 24 กรกฎาคม 2564
เป็นอีกหนึ่งเวทีที่ผมได้เข้าร่วมในฐานะวิทยากร
จริงๆก็รู้สึกภูมิใจ เพราะเป็นผู้ชายเสียงส่วนน้อย ที่ได้ใช้ความรู้และประสบการณ์ช่วยขับเคลื่อนเสียงเงียบนั่นก็คือเสียงของผู้หญิงชาติพันธุ์
วันนี้ก็มาด้วยกัน 4 กลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ กลุ่มสตรีกะแย (กะเหรี่ยงแดง) กะยัน (กะเหรี่ยงคอยาว) กะยอ (กะเหรี่ยงหูใหญ่) และปะโอ (ตองสู)
ส่วนใหญ่กลุ่มที่มานี้ก็เป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ได้สัญชาติไทย แต่ก็ถือได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย และอยู่อาศัยร่วมกับพี่น้องกลุ่มชาติติพันธ์อื่นๆในแม่ฮ่องสอนมายาวนาน จนเสมือนเป็นประชากรผืนป่าแม่ฮ่องสอนเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของสตรีก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายมิติ วันนี้ อาจจะเน้นหนักไปที่ประเด็นเรื่องของ การสร้างภูมิคุ้มกันรวมถึงการจัดการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสิทธิสตรี ความรุนแรงในครอบครัว
ซึ่งในส่วน ของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ก็มาให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรุนแรงในครอบครัวและสิทธิที่ผู้หญิงชาติพันธุ์ควรรู้
ส่วนของผมวันนี้มาในหมวกภาคประชาสังคม ก็รับผิดชอบในประเด็นเรื่องของการใช้สิทธิ์การเชื่อมต่อ การส่งเรื่องราวไปยังภาคประชาสังคม
พูดง่ายๆก็คือรับกันคนละส่วนครับ ส่วนของราชการเขาก็จะอธิบายเกี่ยวกับหลักกฎหมายแล้วก็ช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนกับกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐเป็นหลัก
ส่วนของผมก็จะให้ข้อมูลนะครับ สร้างกำลังใจด้วย แล้วก็สร้างความรู้สึกว่าเรื่องของสตรีเรื่องสิทธิต่างๆเป็นเรื่องใกล้ตัวและเป็นเรื่องที่สามารถที่จะใช้ได้ในพื้นที่จริง ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นสตรีชาติพันธุ์ในไหนเป็นคนไร้สัญชาติหรือไม่ก็ตามแต่ รวมถึงชี้ช่องกลยุทธ์ที่จะดึงเอาผู้ชายเข้าเป็นแนวร่วมด้วย
การสร้างแนวร่วมที่เป็นผู้ชายนี่สำคัญมาก เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่มีส่วนร่วม ก็จะกลายเป็นผู้หญิงตบมือข้างเดียว (แถมอาจจะโดนแรงเหวี่ยงกลับมาจนต้านไม่ไหว)
การขาดแผน แนวทาง กลยุทธ์การสร้างและขยายแนวร่วมที่เป็นผู้ชาย เป็นจุดอ่อนของขบวนการสิทธิสตรีในทุกระดับ อันนี้ผมสะท้อนตลอด และส่วนใหญ่ยังปรับกลยุทธ์กันไม่ค่อยได้
ผมก็พยายามยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงและเล่าเรื่องราวต่างๆออกมาสื่อสารให้เข้าใจง่ายๆนะครับ จะได้ไม่มองสิทธิสตรีเป็นเรื่องหนักเกินไป นอกจากนี้ก็ให้ช่องทางประสานงานไปซึ่งคิดว่าหลังจากนี้ บรรดากลุ่มสตรีชาติพันธุ์ต่างๆทั้ง 4 กลุ่มก็น่าจะได้ประโยชน์
ถึงพวกเธออาจจะจำเนื้อหาในเวทีวันนี้ได้ไม่หมด แต่ก็ได้รู้จักจดจำในบางเรื่อง รวมถึงได้ช่องทางการติดต่อสื่อสารหลังจากเวทีเสร็จสิ้นไปแล้วก็ถือว่าน่าจะเพียงพอสำหรับเวทีเล็กๆ
นั่นเป็นกระบวนการช่วงเช้าครับ
ทีนี้ ช่วงบ่ายก็มีการแบ่งกลุ่มย่อยตามกลุ่มชาติพันธุ์ โดยให้แต่ละกลุ่ม สำรวจทำแผนที่สังคม (Social Mapping) เป็นแผนที่สังคมที่วาดซ้อนลงไปในแผนที่ทางด้านกายภาพของหมู่บ้านชุมชนที่ตนเองอาศัยอยู่ แต่ในนั้นก็ระบุความสัมพันธ์ของคนกลุ่มต่างๆ เครือญาติครอบครัว เชื่อมโยงไปสู่การวิเคราะห์ว่าความสัมพันธ์เชิงอำนาจต่างๆที่อยู่ในชุมชนที่อยู่ในครอบครัวของพวกเธอเหล่านั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง
ตามด้วยการทำวิเคราะห์โครงสร้าง ระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจครอบครัวของตนเอง บอกเล่าถึงประสบการณ์ตรงของตนในครอบครัว
พูดง่ายๆคือเหมือนกับเปิดใจนะครับให้ทางผู้หญิงชาติพันธุ์ได้บอกเล่าเรื่องราวตัวตนออกมาซึ่งเหมือนเป็นแบบฝึกหัดครับ ได้ฝึกให้พวกเธอได้เล่าเรื่องราวที่ดูเหมือนจะเป็นส่วนตัวให้กับคนอื่นได้รับรู้ครับ ถึงการเล่าวันนี้อาจจะยังไม่ลึกมากนะครับ เพราะเหมือนกับว่าปัญหาที่อยู่ในชีวิตจริงลึกๆที่เป็นเรื่องความรุนแรงในบ้านนั้น ยังไม่ถูกสะท้อนออกมา ( ผมคิดว่ามัน sensitiveครับ ใครจะเล่ากันง่ายๆ ถึงจะเป็นวงผู้หญิงด้วยกันก็ใช่ว่าจะเล่าออกมาได้ตรงๆ แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นโอกาสครับ)
ดังนั้น สิ่งที่พวกเธอเล่า ก็จะเป็นระดับผิวๆอยู่ อาจจะอยู่ว่าบ้านเป็นยังไงชีวิตครอบครัวอยู่ร่วมกันยังไงบ้าง แต่ว่าการได้รับการกระทำความรุนแรงหรือละเมิดสิทธิ์ต่างๆอะไรยังไงนี่ยังไม่ถึงขั้นที่เข้มข้นออกมา
แต่ก็ไม่เป็นไรครับเพราะว่าเรายังมีพื้นที่สื่อสารที่ดูเหมือนกับเป็นตัวต่อตัวหรือว่าจะมีความรู้สึกว่าเก็บความลับได้ในอีกวงนึงซึ่งอาจจะเป็นวงที่เขาติดต่อโดยตรงกับทางหน่วยงานหรือว่าอาจจะเป็นการรับเรื่องร้องเรียนก็ได้นะครับ
อันนี้ การเขียน วิเคราะห์ อภิปรายเหล่านี้ ก็เหมือนกับเป็นการสำรวจแล้วก็ฝึกให้พวกเธอได้บอกเล่าวิเคราะห์จากมุมของตัวเองออกมา
อีกส่วนหนึ่งที่ผมได้ทำควบคู่ไปกับเวทีนี้ก็คือการจัดโฟกัสกรุ๊ป ล้อมวงคุยรับฟังความคิดเห็น สุขภาพสตรีชาติพันธุ์ในสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งก็ได้ตัวแทนแกนนำสตรีของทั้ง 4 กลุ่มไม่ว่าจะเป็นสตรีกะแย (กะเหรี่ยงแดง) กะยัน (กะเหรี่ยงคอยาว) กะยอ (กะเหรี่ยงหูใหญ่) และปะโอ (ตองสู) มาเล่าเรื่องราวผลกระทบรวมถึงการปรับตัวและข้อเสนอต่างๆจากมุมมองของผู้หญิงฐานราก ซึ่งมีทั้งได้สัญชาติไทยและยังไม่ได้สัญชาติไทยด้วย
ตรงนี้ผมกับทีมก็จะทำเป็นคลิปวีดีโอซึ่งกำลังรอตัดต่ออยู่คิดว่าน่าจะออนไลน์ได้เร็วๆนี้
ก็ถือได้ว่าเป็นงานที่เสริมเข้ามาในจังหวะที่ได้พบปะกับแกนนำผู้หญิงชาติพันธุ์ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่เป็นเสียงเงียบในสังคมไทย
แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เรามองข้ามไม่ได้
นอกจากนี้ ยังได้โอกาสสัมภาษณ์แกนนำสตรีชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และยังได้สัมภาษณ์ผู้ชายที่เป็นสมาชิกสภาชาติพันธุ์จังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วยนะครับ ถึงมุมมองที่เขามองต่อผลพวงของ covid-19 ที่เกิดขึ้นกับชุมชน และผู้หญิงชาติพันธุ์ในช่วงสถานการณ์นี้ที่แม่ฮ่องสอน
ก็จะเป็นอีกสื่อคลิปวีดีโอที่จะนำมาบอกเล่าต่อสาธารณะในเร็วๆนี้
คอยติดตามนะครับ
ไม่มีความเห็น