การศึกษาดูงาน คืออีกหนึ่งกระบวนการของการพัฒนาตัวเองและองค์กร อันหมายถึงการเดินทางไปเรียนรู้ “ความจริง” ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งความจริงในมิติที่เป็นความสำเร็จและความจริงในมิติของความล้มเหลว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันการศึกษาดูงานมักมุ่งไปค้นหาแนวปฏิบัติที่ดี (best practice) เสียมากกว่า
และคงไม่ผิดกระมัง หากจะนิยามความหมายของคำว่า “ศึกษาดูงาน” แบบกว้างๆ ง่ายๆ ว่า “ไปเปิดหูเปิดตา” หรือที่เรียกเป็นวาทกรรมว่า “เปิดโลกทัศน์” ที่ประกอบด้วยการ “ไปดู ไปสังเกต ไปจด ไปจำ” ในสิ่งอันเป็นความรู้เพื่อนำกลับมาพัฒนาตัวเองและองค์กร
หรือแม้แต่การให้คำจำกัดความบนฐานคิดว่าด้วยศาสตร์ของการจัดการความรู้ (Knowledge management) อาทิเช่น การเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่สะท้อนถึงลักษณะสำคัญสองอย่างในตัว
โดยส่วนตัวผมมองว่า พื้นฐานการศึกษาดูงานที่ดีย่อมมาจากทัศนคติที่ดีต่อการ “เรียนรู้” ผมเชื่อว่าคนและองค์กรจะเข้มแข็งได้ก็ด้วยการเรียนรู้ ซึ่งจะเรียนรู้ได้ก็ต้องมีเครื่องมือในการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงสร้างวาทกรรมขึ้นมารองรับกระบวนการเรียนรู้ในกิจกรรมนอกหลักสูตรเป็นระยะๆ อาทิเช่น ไม่มีที่ใดปราศจากเรื่องเล่าและตำนาน ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้และการเรียนรู้ ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้และการเรียนรู้ (เว้นเสียแต่เราไม่เปิดใจที่จะเรียนรู้) ทุกถิ่นฐานมีเรื่องเล่า หรือแม้แต่ “ใจนำพาศรัทธานำทาง”
วาทกรรมข้างต้นยืนยันชัดเจนว่าผมให้ความสำคัญกับคำว่าเรียนรู้เป็นอย่างมาก เพราะเชื่ออยู่แล้วว่าความรู้มีอยู่ในทั่วทุกหนแห่ง ทั้งในธรรมชาติ ในตัวตนของคน และในรูปลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ตำรา อินเทอร์เน็ต ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนรู้หรือเปิดใจเรียนรู้แค่ไหน หรือแม้แต่เราจะมีความรู้และทักษะในการเรียนรู้ได้ดีหรือไม่เท่านั้นเอง
นอกจากประเด็น “การเรียนรู้” ที่เป็นทัศนคติอันสำคัญต่อการศึกษาดูงานข้างต้นแล้ว ยังมีกรอบแนวคิด หรือทฤษฎีอื่นๆ อีกหลายประเด็นที่เกี่ยวโยงกับการต้องไปศึกษาดูงาน ขึ้นอยู่กับว่ารูปแบบการศึกษาดูงาน จะเป็นไปในรูปแบบใด และผู้ศึกษาดูงาน หรือที่เรียกตนเองว่า “นักเรียนรู้” จะหยิบจับกรอบแนวคิดและทฤษฎีมาใช้ได้ตรงจุดมุ่งหมายหรือไม่
สำหรับผมแล้ว ก่อนการเดินทางไปศึกษาดูงาน ผมมักคิดคำนึงถึงกรอบแนวคิดหรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าเสมอ อาทิเช่น
ตัวอย่างของประเด็นที่หยิบยกข้างต้นนั้น คือการให้ความสำคัญ และแสดงความเคารพต่อกับองค์กร หน่วยงาน หรือบุคลากรในองค์กรที่เราไปทำการศึกษาดูงาน โดยเชื่อว่าทั้งองค์และบุคลากรนั้นๆ มีความรู้ความสามารถที่เราต้อง “เปิดใจ” ที่จะ “เรียนรู้” มิใช่การยึดโยงเอา “ตัวเองเป็นศูนย์กลาง” เพราะถ้าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศึกษาดูงานให้เสียทั้งเวลาและงบประมาณ
อย่างไรก็ดี กิจกรรมการศึกษาดูงานด้านกิจกรรมนิสิตนั้น มองภาพรวมโดยไม่เจาะจงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เราสามารถนำเอาเครื่องมือจากการจัดการความรู้มาประยุกต์เป็นเครื่องมือในการศึกษาดูงานได้ในหลายประเด็น ยกตัวอย่างเช่น
ในบางขณะการสนทนาอาจถูกขับเคลื่อนผ่านเรื่องเล่าเร้าพลัง (Storytelling) ด้วยก็เป็นได้ เพราะการเล่าเรื่องแบบนี้จะทำให้เกิดชีวิตชีวา เกิดบรรยากาศที่เอื้อต่อการซึมซับเรื่องราวที่นำไปสู่แรงบันดาลใจทั้งในเชิงบุคคล และทีม ทั้งนี้ในการสนทนาจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออีกชิ้นมาประกอบสร้างเข้าด้วยกัน นั่นคือการฟังแบบฝังลึก (Deep listening)
Peer Assist : เรียกเป็นวาทกรรมว่า “เพื่อนช่วยเพื่อน” เครื่องมือดังกล่าวนี้อธิบายโดยกว้างๆ ก็คือ การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ต่อกันและกัน มักนิยมใช้ในห้วงก่อนดำเนินกิจกรรม เสมือนการเรียนรู้เพื่อมิให้เกิดการพลั้งพลาดในเรื่องเดิมๆ โดยอาจจับกันเป็นกลุ่มเป็นทีม แบ่งหน้าที่เกื้อหนุนการเรียนรู้ของกันและกัน
Lesson Learned : การถอดบทเรียนถือว่าสำคัญมากเพราะเป็นกระบวนการเรียนรู้ในระยะปลายน้ำอันหมายถึงการประเมินผลการเรียนรู้ว่า “ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการศึกษาดูงาน” ทั้งการเรียนรู้องค์กรอื่นและการเรียนรู้เพื่อกลับคืนสู่ตัวเองและองค์กรต้นสังกัด ประหนึ่งคำถามที่คุ้นชินในทำนอง “เรียนรู้แล้วได้อะไร และ “จะนำความรู้มาปรับใช้กับตัวเองอย่างไร”
การถอดบทเรียนที่ดีย่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง (Chang) เชิงสร้างสร้างต่อตัวเอง เพื่อนร่วมงาน (องค์กร) และสังคม โดยต้องไม่ลืมว่าความรู้ที่ได้จากการศึกษาดูงาน บางอย่างนำมาใช้โดยตรงได้เลย แต่บางอย่างจำต้องประยุกต์ใช้บนฐานวัฒนธรรมของตนเองเป็นสำคัญ
นี่คือตัวอย่างเครื่องมือการเรียนรู้ในบางประเด็น ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีเครื่องมืออีกหลายชิ้นที่นำมาประกอบสร้างเป็นระบบและกลไกของการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมศึกษาดูงาน
กระนั้นต้องไม่ลืมว่า เครื่องมือที่กล่าวถึงนั้น เป็นเพียงทฤษฎี หรือหลักคิดเท่านั้น จึงจำต้องทำความเข้าใจด้วยการศึกษาเพิ่มเติมและฝึกปฏิบัติ หรือมุ่งที่จะเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แจ่มชัดในความเป็นศาสตร์และศิลป์ของเครื่องมือการเรียนรู้
นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออื่นๆ ที่นักเรียนรู้ต้องไม่มองข้ามและก่อนการไปศึกษาดูงานก็ควรติดตั้งไว้ในตัวเองให้เสร็จสรรพ โดยเฉพาะประเด็นบันไดแห่งปราชญ์ (สุ จิ ปุ ลิ) และอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง เช่น
ทั้งปวงนี้ ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญๆ ในการศึกษาดูงานด้านกิจกรรมนิสิต โดยประมวลมาจากศาสตร์ที่ว่าด้วย “การจัดการความรู้” ส่วนจะก่อเกิดเป็นพลังอันสร้างสรรค์ได้มากน้อยแค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติจริงและขึ้นอยู่กับว่าเรามีทัศนคติต่อการเรียนรู้อย่างไรเท่านั้นเอง
….
ภาพ องค์กรนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ไม่มีความเห็น