สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก ๔. กรอบปฏิบัติการสานเสวนาเพื่อเรียนรู้



บันทึกชุด สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุกนี้    เขียนเพื่อชี้แนวทางจัดการเรียนรู้แบบที่เรียกว่า active learning (ที่ในบันทึกชุดนี้ใช้คำว่า การเรียนรู้เชิงรุก) แนวทางหนึ่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อฝึกนักเรียนให้เรียนรู้จากการปฏิบัติตามด้วยการคิดที่เรียกว่า การใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection)    ที่นำไปสู่การฝึกทักษะการเรียนรู้ที่นักเรียนกำกับการเรียนรู้ของตนเอง (self-directed learning) เป็น    ผ่านกระบวนการ สานเสวนา (dialogue) ระหว่างนักเรียนกับครู และระหว่างนักเรียนกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน    เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่สนุกเร้าใจ (student engagement)    กระตุ้นสมองให้เจริญงอกงาม   และสร้างพัฒนาการรอบด้านตามแนวทางของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑    เป็นบันทึกที่เขียนขี้นจากการตีความหนังสือและรายงานวิจัยของศาสตราจารย์ Robin Alexander    นักวิจัยผู้ยิ่งใหญ่ด้านการศึกษาของอังกฤษ    สังกัดมหาวิทยาลัย  Warwick  และมหาวิทยาลัย Cambridge     คือหนังสือ A Dialogic Teaching Companion (2020) (๑)  และรายงานวิจัย Developing  dialogic teaching : genesis, process, trial (2018) (๒)    บันทึกนี้ใช้คำไทยว่า “สอนเสวนา” ในความหมายของ dialogic teaching

 บันทึกนี้ตีความจากบทที่ ๗ ของหนังสือ  A Dialogic Teaching Companion   ในหัวข้อ Frameworks and fundamentals   อธิบายหลักการของ “กรอบปฏิบัติการสอนเสวนาเพื่อเรียนรู้”    ว่ากรอบปฏิบัติการนี้ประกอบด้วย ๙ ส่วน   ที่ ๓ ส่วนแรกเป็นคำอธิบาย  และ ๖ ส่วนหลังเป็นแนวทาง    คือ  (๑) เป้าหมาย  (๒) ลักษณะพิเศษ  (๓) ความแตกต่างระหว่างกรอบนี้กับกรอบชุดก่อน  (๔) นิยาม  (๕) ท่าที  (๖) หลักฐานสนับสนุน  (๗) หลักการ  (๘) ชุดแนวทาง  (๙) ตัวชี้วัด 

ตัวสาระหลักของกรอบปฏิบัติ คือ ชุดแนวทางสอนเสวนา (dialogic teaching repertoires) ๘ ชุด   ที่แต่ละชุดจะเป็นหัวข้อของบันทึกต่อๆ ไป     ชุดแนวทางสอนเสวนา นี้ พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเหลือให้ครูดำเนินการพัฒนาวัฒนธรรมของห้องเรียน และจัดการห้องเรียน,  พัฒนารูปแบบการพูดโต้ตอบระหว่างนักเรียนกับครู,  พัฒนาการดำเนินการเสวนาในห้องเรียน  และการขับเคลื่อนต่อด้านการตั้งคำถาม (questioning),  การขยายประเด็น (extending),   สู่การอภิปราย (discussion) และการโต้แย้ง (argumentation)   

เป้าหมาย (Purpose)

เป้าหมายของ กรอบปฏิบัติการสอนเสวนาเพื่อเรียนรู้(dialogic learning framework) นี้    มีเป้าหมายเพื่อกำหนด และอธิบาย ธรรมชาติ (nature),  มิติ (dimension), และองค์ประกอบ (elements) ของวิธีสอนแบบสานเสวนา     กรอบปฏิบัติการนี้มีทั้งส่วนที่เป็นคำอธิบาย (descriptive)   และส่วนที่เป็นข้อกำหนด (prescriptive)    จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารบอกแนวทางที่ครบถ้วน    ไม่ใช่เพื่อเป็นคู่มือดำเนินการการเสวนาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ   

กล่าวใหม่ว่า กรอบปฏิบัติการนี้ เป็นกรอบแนวทางสำหรับครูนำไปคิดรายละเอียดการดำเนินการเอง    ไม่ใช่คู่มือที่บอกสูตรสำเร็จรูป   

ลักษณะพิเศษ (Distinctive features)

กรอบปฏิบัติการนี้มี ๖ ส่วน คือ (๑) นิยาม   มีการกำหนดนิยามทั้งของ สานเสวนา และของการสอนแนวสานเสวนา   เพราะสองสิ่งนี้เป็นคนละสิ่ง  (๒) ท่าที  บอกเหตุผลของแนวทางดำเนินการในภาพใหญ่  (๓) หลักฐานสนับสนุน   สรุปหลักฐานด้านการศึกษา ที่สนับสนุนการสอนเสวนาตามแนวทางที่เสนอ  (๔) หลักการ  บอกแนวทางประยุกต์ใช้ชุดแนวทางสอนด้วยสานเสวนา    และบอกเกณฑ์ประเมินคุณภาพของการสอน   (๕) ชุดแนวทาง   ที่ครูนำไปปรับใช้ตามบริบทและความจำเป็น    ชุดแนวทาง (repertoires) ประกอบด้วย  (a) settings  (b) forms  (c) transactions  (d) moves     (๖) ตัวชี้วัด   หนังสือลดจำนวนตัวชี้วัดลงจากกรอบชุดก่อนๆ เหลือเพียง ๑๕ ตัวชี้วัด สำหรับวัดการสอนแนวสอนเสวนา

กล่าวได้ว่า เป็นกรอบปฏิบัติที่ยืดหยุ่น  ครูนำไปปรับใช้   แต่เป็นกรอบปฏิบัติที่มีทฤษฎีสนับสนุนอย่างแน่นแฟ้น    ผมไม่ได้เน้นจับประเด็นเชิงทฤษฎีมาตีความลงไว้อย่างละเอียด    คือผมเน้นภาคปฏิบัติมากกว่า  

ความแตกต่างระหว่างกรอบนี้กับกรอบชุดก่อน

แนวทางจัดการเรียนรู้แบบสอนเสวนาเริ่มพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002   และมีวิวัฒนาการเรื่อยมา    มีการปรับปรุงและทดสอบใหญ่ด้วย RCT ในปี 2014 – 2017   แล้วจึงปรับปรุงเสนอในหนังสือ A Dialogic Teaching Companion ที่ผมใช้เป็นต้นฉบับตีความมาเสนอในบันทึกชุดนี้

จำนวนชุดแนวทาง (repertoires) เพิ่มขึ้นจากมี ๓ ชุด ในปี 2002 (วิธีจัดการปฏิสัมพันธ์, พูดเพื่อสอน, และพูดเพื่อเรียน)    เพิ่มอีก ๓ ชุด จากงานวิจัยปี 2014 – 2017 (การพูดในชีวิตประจำวัน, การตั้งคำถาม, และ การขยายประเด็น)   มาจนเป็น ๘ ชุด ในหนังสือ A Dialogic Teaching Companion   

นิยาม

สานเสวนา (dialogue) คือการแลกเปลี่ยนกันทางวาจา ที่มีความพิถีพิถันด้าน สารสนเทศ  ความคิด (idea), ข้อมูลหรือสารสนเทศ (information),  และข้อคิดเห็น (opinion)    โดยผมขอเพิ่มเติมว่า สานเสวนามีมิติด้านการฟังกัน และการไม่ด่วนตัดสิน อยู่ด้วย

สอนเสวนา เป็นแนวทางสอนด้วยคำพูด ที่ใช้พลังของการสานเสวนา  เพื่อกระตุ้นและขยายความคิด, การเรียนรู้,  การรู้, และความเข้าใจของนักเรียน    และเพื่อเอื้อให้นักเรียนอภิปราย ให้เหตุผล และโต้แย้ง     การสอนด้วยสานเสวนาเป็นการเชื่อมการพูด การคิด ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความรู้ และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน   ก่อตัวเป็นกรอบความคิด ความเชื่อ และคุณค่า    รวมทั้งพัฒนาวิธีพูดและวิธีฟัง   

ท่าที (Stance)

ท่าทีสำคัญของการสอนเสวนาคือ เพื่อให้นักเรียนตระหนักว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์    โดยที่ความเข้าใจนั้นเกิดจากประสบการณ์ตรงของตนเอง ผ่านความร่วมมือระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง    นำไปสู่การพัฒนาความรับผิดชอบของนักเรียนต่อการเรียนรู้ของตน และต่อสิ่งที่ตนเรียนรู้    

อีกท่าทีหนึ่งคือ เพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักว่า การเรียนรู้ไม่เพียงเป็นกระบวนการถ่ายทอดและรับถ่ายทอด   แต่ยังเป็นกระบวนการที่มีการต่อรอง  และการสร้างสรรค์ขึ้นเอง    และในที่สุดแล้วแต่ละคนเรียนรู้ด้วยตนเอง จากการได้สัมผัสความรู้ ทั้งด้วยตนเอง และจากการทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ

อีกท่าทีหนึ่งคือ เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่มีการเสวนาเป็นศูนย์กลาง     ระหว่างตัวเรากับคนอื่น    ระหว่างความรู้ส่วนบุคคลกับความรู้ส่วนรวม    ระหว่างปัจจุบันกับอดีต   และระหว่างวิธีสร้างความหมายหลากหลายรูปแบบ  

จะเห็นว่า คำว่า “ท่าที” (stance) ของหนังสือ     ในวัฒนธรรมไทยน่าจะหมายถึง ความเชื่อ ในคุณค่าของการสอนแบบสานเสวนา

ในการสอนเสวนา การสอนและการเรียนจะทำให้การเรียนรู้จากการคิด (cognitive learning) กับการเรียนรู้จากกระบวนการทางสังคม (social learning) เป็นสิ่งเดียวกัน     โดยที่กระบวนการทางสังคมรวมถึง พัฒนาการ (developmental),  ปฏิสัมพันธ์ (relational),  วัฒนธรรม (cultural),  และกระบวนการ (procedural)     

เชื่อว่า การศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาการมีเป้าหมายชีวิตของตนเอง  และการมีความรับผิดรับชอบ (accountability : developmental, relational, ethical, cultural)    โดยผมขอเพิ่มเติมว่า อาจมองได้จากมุมของการพัฒนาตัวตน หรือ Chickering’s seven vectors of identity development (๓) 

เชื่อว่า ความเข้าใจ หรือการเรียนรู้ เป็นผลผลิตของการโต้แย้ง การทำความเข้าใจ ที่หลากลาย    ในหลากหลายสถานการณ์ (ratiocinative, epistemological, cultural, procedural)

เชื่อว่า การศึกษามีมิติของความตระหนักใน กาละ เทศะ และบุคคล    เรียนรู้จากคนอื่น  สถานที่อื่น  ในเวลาอื่น  (developmental, relational, cultural, ontological)           

ผมขอตีความว่า การเรียนรู้จากสอนเสวนา ช่วยทะลายกรงขังอันคับแคบของ “การศึกษาในรูปแบบ” ที่พัฒนาขึ้นมารับใช้สังคมที่ตีกรอบแข็งทื่อตายตัว    สู่การเรียนรู้ในรูปแบบที่ใช้อิสรภาพของความเป็นมนุษย์เป็นพลังยิ่งใหญ่สู่การเรียนรู้เพื่อการดำรงชีวิตในโลกยุค VUCA (volatile – เปลี่ยนเร็วและรุนแรง, uncertain – ไม่แน่นอน, complex – ซับซ้อน, ambiguous – กำกวม)  

หลักฐานสนับสนุน (Justification)  

การริเริ่มวิธีการใหม่ที่แตกต่างไปจากความเคยชินเดิมๆ ย่อมมีคำถามเสมอ    การใช้การสอนแนวสอนเสวนาแทนการสอนแบบเดิม มีหลักฐานสนับสนุนอย่างน้อย ๘ ประการ ดังนี้

  • การพูดกระตุ้นการคิด    การพูดกับการคิดเป็นกลไกทางสมองที่เชื่อมโยงกัน    ภาษาช่วยสร้างการเชื่อมโยงใยประสาทในสมอง    กลไกนี้สำคัญมากในช่วงชีวิตระยะเด็กเล็ก  และวัยรุ่น    ในกระบวนการพูดและแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้อื่น  เราเรียนรู้วิธีคิดไปพร้อมกัน      
  • การพูดกระตุ้นการเรียนรู้   การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม    การพูดช่วยเป็นโครงร่าง (scaffold) ของการคิด จากคิดแบบเดิมสู่การคิดแบบใหม่    ในห้องเรียน การพูดช่วยดึงดูดความสนใจและแรงจูงใจของนักเรียน   ช่วยให้ใจจดจ่ออยู่กับงาน   และเพิ่มผลลัพธ์การเรียนรู้  
  • การพูดนำสู่การรู้จริง(mastery)    นักเรียนเพิ่มความลึกและเชื่อมโยงของตนในประเด็นเรียนรู้ผ่านการพูด    เป็นเจ้าของภาษาและหลักการที่พูดออกมา    นำสู่ความคล่องแคล่วเชี่ยวชาญในความรู้นั้น   
  • การพูดฝึกการสื่อสาร    มนุษย์ใช้ภาษาทุกประเภทเพื่อแลกเปลี่ยนและต่อรองความหมาย และสื่อสารกิจกรรมในชีวิตประจำวัน    โดยภาษาที่ใช้มากที่สุดคือภาษาพูด       
  • การพูดนำสู่ความสัมพันธ์     การพูดสร้างและกระชับความสัมพันธ์ทางสังคม    การเรียนรู้ผ่านการพูดได้ทั้งความรู้และความสัมพันธ์    ในขณะที่การอ่านและเขียนมักเป็นกระบวนการที่ทำคนเดียว     การพูดนำสู่ความสัมพันธ์ ความร่วมมือ และการสร้างความเป็นพวกพ้อง     รวมทั้งยังได้ฝึกพูดแบบโต้แย้ง หรือปะทะ  โดยไม่สูญเสียความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน      
  • การพูดนำสู่การดื่มด่ำวัฒนธรรม    การพูดนำสู่การเข้าร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรมกับผู้อื่นในชุมชน    ช่วยให้ปัจเจกบุคคลมีที่ยืนในชุมชน    และช่วยให้ชุมชนมีที่ยืนอยู่ภายในบุคคล    ซึ่งหมายความว่าช่วยให้บุคคลผู้นั้นมีจริตทำเพื่อชุมชน    
  • การพูดในฐานะการฝึกเป็นพลเมืองในระบบอบประชาธิปไตย    การพูดเป็นกิจกรรมหลักของกิจกรรมประชาคม    ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย    ทั้งประชาธิปไตยและสถาบันทุกระดับต้องการคนที่มีความสามารถนำเสนอ  ประเมิน  โต้แย้ง  ท้าทาย    และทดสอบข้อโต้แย้งและวาทกรรมของผู้อื่น 
  • พูดเพื่อสอน  คำพูดที่เตรียมมาอย่างดีของครู  ช่วยให้ครูเข้าถึงความคิดของนักเรียน     ซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยความต้องการ  คิดออกแบบกิจกรรมหรืองาน    ประเมินความเข้าใจ  ประเมินความก้าวหน้า  ให้คำแนะนำป้อนกลับที่มีความหมาย   และช่วยสนับสนุนนักเรียนให้ผ่านพ้นความท้าทายที่เผชิญ    ทั้งหมดนั้นคือ การสอนที่ทรงประสิทธิผล    

หลักการ (Principles)

หลักการพูดในห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดี มี ๖ ประการคือ

  • สะท้อนความเป็นทีมเดียวกัน(Collective)    เพื่อให้ห้องเรียนเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน
  • สะท้อนความเกื้อหนุน (Supportive)    ให้นักเรียนรู้สึกว่าห้องเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย   ที่จะแสดงออกได้อย่างอิสระตรงไปตรงมา    ไม่กลัวผิด    รวมทั้งมีบรรยากาศของความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  เพื่อบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ไปด้วยกัน
  • ต่างตอบแทน (Reciprocal)    นักเรียน (และครู) รับฟังซึ่งกันและกัน    แลกเปลี่ยนความคิด  ตั้งคำถาม  แสวงหาทางเลือกหรือแนวคิดอื่น    โดยครูช่วยให้นักเรียนมีโอกาสแสดงพฤติกรรมนี้อย่างเพียงพอ
  • อภิปรายตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน(Deliberative)    เพื่อนำมุมมองที่แตกต่าง หรือข้อโต้แย้ง มานำเสนอ และทำความเข้าใจร่วมกัน    นำไปสู่การกำหนดจุดยืนร่วมกัน
  • สั่งสม (Cumulative)    โดยนักเรียน (และครู) เรียนรู้แบบต่อยอดจากตนเองและผู้อื่น   เกิดเป็นชุดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ร่วมกัน    กระบวนการนี้ครูต้องมีทักษะและศิลปะในการช่วยตะล่อม
  • มีเป้าหมาย(Purposeful)    แม้การสานเสวนาในห้องเรียนเน้นเสวนาแบบปลายเปิด  แต่ก็มีเป้าหมายหลักเป็นตัวกำหนดโครงสร้างของกระบวนการ    

ชุดแนวทาง (Repertoires)

นี่คือหัวใจของบันทึกชุด สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก นี้    เขาย้ำว่า เป็นแนวทางที่ให้อิสระครูในการเลือกใช้ และใช้อย่างมีวิจารณญาณ    ไม่ใช่ใช้อย่างแข็งทื่อเถรตรง     โดยตระหนักว่า การสอนเป็นกิจกรรมที่ซับซ้อนยิ่ง    เป้าหมายหลักของการใช้ชุดแนวทางนี้คือ เพื่อให้เสรีภาพในการคิดและการแสดงออกของนักเรียน   สู่การเรียนรู้รอบด้าน และลึกและเชื่อมโยง    ไม่หยุดอยู่ที่การเรียนรู้เป็นส่วนเสี้ยว  ตื้น และมีอคติหรือคับแคบ   

เนื่องจากชุดแนวทางนี้ เป็นแนวทางสอนเสวนา     จึงควรทำความเข้าใจ “การสอน” ร่วมกันเสียก่อน    เขาให้นิยามการสอนว่า “เป็นการกระทำที่ใช้วิธีการ ก เพื่อหนุนให้นักเรียนเรียนรู้ ข”    ขยายความต่อได้ว่า การสอนมีโครงสร้าง (structure) และรูปร่าง (form)    อยู่ภายในและกำกับโดย เทศะ (space),  กาละ (time),  และแบบแผน (patterns) การจัดระบบนักเรียน (student organization)    โดยดำเนินการเพื่อเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง

การสอนจึงเป็นเรื่องของเป้าหมายและวิธีการ  

ผู้เขียน (Robin Alexander) เสนอกรอบเพื่อทำความเข้าใจการสอนไว้ดังนี้

จุดสนใจของชุดแนวทางการสอนเสวนาคือ ปฏิสัมพันธ์

องค์ประกอบของชุดแนวทาง

สิ่งที่ควรทำความเข้าใจคือ ๕ ระดับของการพูดโต้ตอบแลกเปลี่ยน  จากระดับสูงสุดไปสู่ระดับเล็กที่สุดคือ (๑) บทเรียน (lesson)  (๒) ธุรกรรม (transaction)  (๓) การแลกเปลี่ยน (exchange)  (๔) การเคลื่อน (move)  (๕) การกระทำ (act)    โดยที่การกระทำเป็นหน่วยเล็กที่สุด แยกย่อยไม่ได้อีกแล้ว  เช่นถาม  แย้ง    ตัวอย่างของการเคลื่อนคือ IRE/IRF    คือหลายการกระทำ หรือชุดการกระทำ เป็นการเคลื่อนกระบวนการเรียนการสอน       

ตัวชี้วัด (Indicators)

ตัวชี้วัดความเป็นการสอนเสวนามี ๑๕ ตัว ได้แก่

  • เคารพสถานการณ์ ความต้องการ สิทธิ ของนักเรียนทุกคน    โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนจากครอบครัวหรือชุมชนที่สถานการณ์ทางสังคมหรือด้านสุขภาวะ ทำให้ไม่มีโอกาสฝึกแสดงออกต่อหน้าผู้อื่น
  • มีกติกาที่ตกลงกัน เรื่องการพูด ฟัง และอภิปราย    และทุกคนเคารพและปฏิบัติตามกติกานั้น
  • มีการเตรียมความพร้อมเพื่อเอาใจใส่ทั้งที่การพูด และที่การคิดใหม่ เชื่อมโยงไปยังการอ่านและเขียน
  • มีแนวทางกว้างๆ และยืดหยุ่น ของกลยุทธการสอน  ปฏิสัมพันธ์  และรูปแบบของการพูดของนักเรียนและครู
  • ปฏิสัมพันธ์ที่กระตุ้นให้นักเรียนคิด และคิดในแนวทางต่างๆ กัน
  • คำถามที่ต้องการคำตอบที่มากกว่าการทวนความจำ   และทั้งนักเรียนและครูเป็นผู้ถาม
  • คำตอบที่ได้รับการตรวจสอบ  ติดตาม และขยายต่อ    ไม่ใช่ตอบแล้วก็จบ
  • คำแนะนำป้อนกลับที่ชวนให้คิดไปข้างหน้า (feed forward)    และเสนอโดยทั้งครูและนักเรียนด้วยกัน
  • การเคลื่อนขยายแนว (extending moves) เพื่อตรวจสอบการเรียนรู้  และขยายความร่วมมือในการเรียนรู้ของนักเรียน
  • การแลกเปลี่ยน (exchanges) ที่เชื่อมโยงกันเป็นประดุจห่วงโซ่ของคำถามที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ
  • การอภิปรายที่แนวคิดได้รับการแลกเปลี่ยนอย่างอิสระ มีการรับฟัง และทำความเข้าใจ
  • การโต้แย้งเพื่อทดสอบ และเรียกหาข้อมูลหลักฐาน และกรณีตัวอย่าง
  • แบบแผนการจัดระบบชั้นเรียน ในด้านการจัดการพื้นที่  จัดกลุ่มนักเรียน  กาละ  ความเร็ว    และสมดุลระหว่างปฏิสัมพันธ์ทั้งชั้น  เป็นกลุ่ม  และเฉพาะตัว
  • วัฒนธรรมชั้นเรียน ที่พลวัตการพูดมีลักษณะรวมกลุ่ม ต่างตอบแทน และสนับสนุนต่อกัน    มีเนื้อหาและพัฒนาการที่มีการพิจารณาและคลี่คลายข้อโต้แย้ง  มีการสั่งสมต่อยอด  และมีเป้าหมาย
  • เห็นท่าทีเชิงสานเสวนาชัดเจน   ในการเรียน  ความรู้  และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

มีข้อเสนอว่า แก่นของตัวชี้วัดการสอนเสวนา ๒ ประการคือ  (๑) การสอนทำให้นักเรียนต้องคิดเอง    ไม่ใช่จำความคิดของคนอื่นเอามาพูด   (๒) คำตอบต้องนำไปสู่คำถามต่อเนื่อง   มิฉะนั้นไม่เป็นการสานเสวนา  

วิจารณ์ พานิช

๑๗ เมษายน ๒๕๖๔   ปรับปรุง ๒๓ เมษายน ๒๕๖๔

             

หมายเลขบันทึก: 690705เขียนเมื่อ 19 พฤษภาคม 2021 19:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤษภาคม 2021 19:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท