เรื่องชาตินี้ชาติหน้า ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักธรรมศาสน์ แต่เอามาผนวกไว้เพื่อแต้มสีสันเท่านั้นเอง
-พระเกจิส่วนใหญ่มักสอน (เน้นด้วยซ้ำไป)ว่า ชาติหน้ามีจริง
-บางส่วนสอนว่าไม่มี
-บางส่วนอ้างว่าเราต้องอยู่กับปัจจุบัน(ชาตินี้) อย่าไปคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว (ชาติก่อน) และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง (ชาติหน้า)
-ลพง.สอนว่าชาติก่อน/ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า..
ถ้าไม่มีจริงเราก็ต้องปฏิบัติธรรมดังนี้ เพื่อความสุขในปัจจุบัน
ถ้ามีจริงเราก็ต้องปฏิบัติธรรมดังนี้(ดังเดียวกัน) เพื่อความสุขในชาตินี้และชาติหน้า
ดังนั้นลพง.จึงไม่สอนเรื่องชาติก่อนชาติหน้าให้เสียเวลาปฏิบัติธรรม
-บางทีท่านก็สอนว่า ชาตินี้ยังไม่มีจริงเลย(มายา) แล้วชาติหน้าจะมีจริงได้อย่างไร
สำหรับตัวผข.เองเมื่อก่อนก็โน้มเอียงไปทางคำสอนของลพง. แต่วันนี้แก่ตัวลง หันกลับไปเชื่อว่า “มีจริง” แต่ไม่ได้เชื่อแบบงมงาย แต่เชื่อด้วยเหตุผลหว่านล้อมอื่น เช่นดังที่เสนอไว้แล้วในบทก่อนว่าทำไมลูกหมาคอกเดียวกันบางตัวเชื่องมาก บางตัวดุมาก..อีกทั้งลูกคนฝาแฝดแบบไข่ใบเดียวกัน หน้าตาเหมือนกันทุกอย่างทำไมนิสัยต่างกัน.. เรื่องนี้จะไม่สามารถตอบได้เลย หากไม่มีชาติปางก่อน..ถ้าจะให้ตอบเราคงตอบว่าที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะว่าดวงจิตที่มาจุติเป็นดวงจิตคนละดวงกัน จึงมีสัญญาดั้งเดิมที่ติดตัวมาต่างกัน ดังนั้นจุดเริ่มต้นของแต่ละชีวิตในชาตินี้จึงต่างกัน..เรื่องนี้ทำให้คิดต่อไปได้ว่าแม่จะเป็นผู้ให้กายเป็นหลัก ส่วนพ่อจะเป็นผู้ให้จิตใจเป็นหลัก แต่จิตและกายเป็นสหายกัน ก็เลยเป็นตัวตนของลูกแฝดที่เกิดมา
ถ้าชาติปางก่อนมีจริงแล้วไซร้ ชาติหน้าก็ต้องมีจริงด้วย เพราะว่าชาตินี้ก็เป็นชาติหน้าของชาติปางก่อนนั่นเอง
ถ้าสอนกันว่าชาติหน้าไม่มีจริง จะเป็นอันตรายมากเพราะว่าเราในชาตินี้จะก่อกรรมทำเข็ญอะไรก็ได้โดยไม่ส่งผลต่อชาติหน้า โลกเราใบนี้ก็คงจะล่มสลายไปนานแล้วก็เป็นได้ ขนาดมีชาติหน้ามาดักคอไว้ พวกเขายังทำบาปต่อโลกกันได้มากถึงเพียงนี้ จนเป็นอันตรายถึงขั้นจะทำลายโลกได้เลย ถ้าไม่มีชาติหน้าพวกเขาจะยิ่งไม่ยำเกรงในพระเจ้ามากไปกว่านี้ จนโลกอาจแตกสลายไปแล้วก็เป็นได้
.
-----คนถางทาง..๑๔ มีค. ๖๔
ไม่มีความเห็น