ไม่รู้จะถูกเรื่องถูกเว็บหรือไม่
ผมอยากให้ฟังประสพการณ์การเข้าร่วมค่ายวิชาการที่ไปสอนหนังสือเด็ก ๆ
ในรูปแบบในมุมมองของผมซึ่งอาจมีน้ำเยอะไปหน่อย ครับ แต่ผมเขียนมาจากใจ
จริง ๆ มีภาพ sketch ที่ผมวาดประกอบเรื่องนี้ด้วยแต่ทำลงในกระดาษ
และมันผ่านเวลามานานมากทำให้ผมหาความทรงจำนี้ไม่เจอ
คาดว่าอยู่ในถุงแห่งความทรงจำที่ผมเก็บไว้ไม่ดีพอ
แม่นึกว่าเป็นขยะเลยเอาไปทิ้ง - - "
เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องเล่าที่ผมพยายามเขียนหลังจากจบค่ายแต่เขียนไม่จบ
เขียนไว้ 24 หน้าด้วยกัน ซึ่งยังขาดอีกเยอะ
แต่ผมพยายามประติดตอความคิดช่วง 10 วันของค่ายนี้ให้มากที่สุด
อาจจะต้องขออภัยที่บางช่วงนั้นจะหายไปแล้วมาต่ออีกช่วงหนึ่งซึ่งอาจทำให้งงได้
ผมขอเริ่มจากบทเกริ่นนำนะครับ
ความทรงจำหรือเรื่องที่น่าประทับใจของมนุษย์เรานั้นมีกันทุกคน แต่เศษเสี้ยวของเหตุการณ์ที่น่าประทับใจเหล่านั้นอาจจะตกไปจากสาระบบหน่วยความจำของเราได้ หากได้มีการจดบันทึกลงในกระดาษหรือสมุด ก็จะทำให้ความทรงจำเหล่านั้นตราตรึงได้นานเท่านาน อนึ่งสิ่งที่ประทับใจของผู้เขียนที่สุดจะบรรยายได้นั้นก็จะถูกบันทึกลงในหนังสือทำมือเล่มนี้เช่นกัน
สิ่งที่สร้างความประทับใจให้ผู้เขียนคือผู้เขียนได้เพื่อนใหม่และเพื่อนแท้หลาย ๆ คนไม่ว่าจะเป็น ต้อม เฉิน บอล ผ่อง จอ เก่ง อาต๊ะ อ๊ะ ออง มล ดราฟ จิ้บ เจี้ยบ เนย เอี้ยง ดอน กระแต แนน สุ อ้อ เอ๋( sara ) เอ๋ หมู พีช หนึง เอี๊ยง เอี้ยง พี่เชษฐ อุ๊ก ทราย เปา ตาล โอ๋ ต่อย เก่ง ชมพู่(กัน) น้อย อิง กุ๊ก แน๊ต นัท น๊อต อั้ม เบนซ์ ป๊อก( กี้ ) บรรดาน้อง ๆ ที่มาร่วมค่าย ส่วนคนอื่น ๆ ที่ผมกล่าวไม่หมดก็อย่าน้อยใจแล้วกัน
เรื่องราวที่ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังเป็นการเข้าค่ายวิชาการครั้งที่ 4 ที่ชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสานกับชมรมอินเทอร์เน็ต ร่วมมือกันจัดขึ้นมาซึ่งต้องขอขอบคุณทั้ง 2 ชมรมนี้ที่ได้จัดงานค่ายวิชาการสู่ชนบทครั้งที่ 4 เรื่องราวที่เขียนนั้นได้ผ่านมุมมองจากผู้เขียนเองมีทั้งสนุกเศร้าแปลกสยดสยอง ซึ่งผู้เขียนคิดว่ามันชวนให้ระลึกน่าติดตามไม่ใช่น้อย แต่เนื่องจากผู้เขียนไม่สามารถสะท้อนมุมมองของผู้อื่นที่มีต่อค่ายวิชาการสู่ชนบทนี้ได้ ถ้าผิดพลาดประการใด การพาดพิงก่อให้เกิดความเสียหาย เรื่องความจริงของเหตุการณ์ขอให้เพื่อนพี่น้องทักทวงมาเพื่อให้เหตุการณ์เหล่านั้นมีความสมบูรณ์ของเนื้อหามากที่สุด หรือว่าต้องการให้เนื้อเรื่องเป็นไปตามผู้เขียนก็สุดแล้วแต่ ผู้เขียนไม่รับรองว่าสิ่งที่ผู้เขียน เขียนไปนั้นสามารถอ้างอิงได้ถูกต้อง 100 % แต่ผู้เขียนรับรองว่าผู้อ่านจะได้รู้และเข้าใจมุมมองชีวิตของผู้เขียนได้ก็ตอนนี้ละ
.
ตอนที่ 1
“ไม่อยากให้มีพรุ่งนี้ “ เสียงพูดออกมาอยากสะอึกสะอื้น
สะกดผู้ฟังได้ช่วงหนึ่ง
ท้ามกลางวงล้อมของเด็กหนุ่มสาวที่เป็นอนาคตของชาติ
เสียงพูดนั้นเป็นเสียงของผมเอง ผมถอยออกมานั่งที่เดิม หลังจากพูดเสร็จ
และก็นั่งหวนคิดถึงวันแรกจวบจนถึงจุดนี้
.................................................................................................................
เช้าวันหนึ่งในห้องชมรม internet
“ช่วง 16-26 ว่างไหมครับไปช่วย ๆ งานค่ายหน่อยนะครับ”
ก็นึกในใจ เอ้..... เดือนสิงหามันยังสอบอยู่นี้หว่าไปค่ายได้ไงวะ
ผมก็ไม่ได้คิดอะไรแต่ก็รับฟังไว้เผื่อว่าว่าง ๆ จะได้ไปช่วยได้
ณ. ห้อง 206 ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ประชุมเสร็จ
"พี่ดอยเดี่ยวกลับบ้านหรือเปล่าครับ"
"เดี่ยวว่าจะกลับนะ"
แต่ในใจก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีคนพูดเรือ่งประชุมค่าย ๆ อะไรนี้ก็น่าสนแหะ
เอ...แต่ไมได้ชวนเรานี้หว่า ก็เลยกลับลงจากตึกกิจกรรมแล้วกลับบ้าน
พอไปถึงป้ายรถเมล์
“เหวย ๆ รถไม่ซะที กลับขึ้นไปนั่งชมรมดีกว่า “
“อ่าวเวรกรรมคนหายหมดเลยไปไหนกันหมด สงสัยไปประชุมเรื่องค่ายข้างบนแน่
ๆ เลย ขึ้นไปบนห้องประชุมดีกว่าได้ยินแว้ว ๆ ว่าประชุมค่าย”
หน้าห้องประชุม
เดินวนเวียนอยู่หลาย ๆ
รอบที่หน้าห้องแล้วก็เข้าห้องน้ำไปจัดผมจัดเครื่องแต่งตัวให้ดี
จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็พบว่ามีการประชุมกันอยู่นั่งกัน 2
ฝั่งเชียวดูสภาพบรรยาการเหมือนกับเพียงการเริ่มรู้จักเท่านั้น
ผมเข้าไปเขาก็เริ่มประชุมกันมากพอสมควรแล้ว
ผมจึงต้องไปนั่งที่หัวโต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง
ตอนนั้นเท่าที่จำได้นั่งใกล้น๊อต
“
ค่ายนี้กับสัมมนาที่จะจัดปลายเดินนี้มันอันเดียวกันหรือเปล่าครับเนี่ย
“
“ ไม่ใช่พี่คนละอัน ค่ายนี้จัดช่วงตอนปิดเทอม “
ในที่สุดผมก็คลายข้อข้องใจเรื่องเวลาในการจัดค่าย
มันทำให้ผมสนใจมากขี้นไปอีกเมื่อรู้ว่าค่ายนี้เป็นค่ายวิชาการไม่ใช่ค่ายก่อสร้างอาคาร
จากเอกสารที่ส่งต่อ ๆ กันมาให้ดู “ อืมม… มีสอนหนังสือให้เด็กด้วย
ดีจังแหะได้ลองวิชาอีกครั้ง “
การประชุมเป็นไปอย่างเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการชี้แจงเรื่องต่าง ๆ
ของค่ายซะมากกว่า จนมาถึงเรื่องลายเสื้อที่จะใช้
ทางชมรมอีสานได้มีการออกแบบมาให้ดู
เอ้มันดูเหมือนอาวุธยังไงพิกลอยู่แหะ C4 เนี่ย
ส่วนทางชมรมอินเทอร์เน็ตไม่น้อยหน้าเหมือนกันออกแบบเสื้อทำให้ผมอึ้งเข้าไปพักใหญ่
นี้มันเสื้อค่ายหรือว่าป้าย ประชาสัมพันธ์ขนาด A4 ที่ติดตามเสาแน่
แต่ทางที่ประชุมเห็นว่าให้นำลวดลายเสื้อ 2 แบบนี้มารวมกัน
แต่ผมว่าคงรวมกันยาก และก็คงได้เสื้อ C4 มาใส่แน่ ๆ ( C4 ย่อมาจาก
Computer Camp 4 ครับ ) หัวข้อที่ประชุมต่อมาคือปกหนังสือ
ต่างคนต่างมองหน้ากันว่าใครจะทำปกหนังสือ ในตอนนั้นผมก็อยากทำนิด ๆ
แต่ไม่กล้าบอก รอให้เขาโยนมาก่อนดีกว่าค่อยรับ
รอแล้วรอเล่าท่านทั้งหลายก็ยังไม่โยนหน้าที่ทำปกหนังสือมาให้ซะที
รอจนหัวข้อที่ประชุมต่าง ๆ หมดไป
และทุกคนก็ได้ทยอยกันออกจากห้องประชุม
ถ้าผมจำความได้นะผมไปขอเบนซ์ทำปกหนังสือกับปากตัวเองที่ชั้นล่าง
หลังจากทุกคนไปหมดแล้ว และในที่สุดผมก็ได้ทำปกหนังสือย่างสมใจผมจนได้
แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ว่าเขาให้เวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้นในการทำ
และช่วงนั้นผมก็มีงานที่ส่งอาจารย์มากอยู่เหมือนกัน
แต่ว่าใจมันเรียกร้องที่จะทำครับยังไงก็จะทำให้ได้ (
เว่อร์เสียจริงเชียว )
การประชุมครั้งต่อมา
ในที่สุดผมก็ได้ออกแบบปกหนังสือออกมาสำเร็จทันเวลาจนได้
ผมเอาไฟล์งาตนที่เสร็จแล้วไป print ที่ Studio ที่ไป print
ที่นั้นก็เพราะว่ามันฟรีครับ 555 แต่เวลาจะ Print ออกมาผมก็ต้องแอบ ๆ
เหมือนกัน เพราะหน้าปกนั้นผมสาดสีน้ำเงินซะเต็มหน้า
เมื่อได้ผลงานออกมาแล้วก็รีบไปยังชมรมเพื่อที่ว่าจะให้คนที่นั้นดูก่อนว่าใช้ได้ไหม
พอดีเจอเบนซ์ ก็เลยให้ดูพร้อมอธิบายแนวคิดของผมว่าได้มาอย่างไร
“ อันแรก เป็นลวดลายที่ได้มาจาก ธงสามชาย
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดชัยภูมิ “
“มันธง 3 ชาย ยังไงละพี่ ไม่เห็นจะเป็นธงเลย “
“ ลองมองดูธงด้านบนสิ เวลามองต้องมองหลาย ๆ ด้านให้แตกต่าง “
“อ้อเข้าใจแล้ว “ ( เข้าใจด้วยหรือผมยังไม่เข้าใจตัวเองเลย 555 )
“อันที่ 2 ได้มาจาก เด็กผ็หญิงและเด็กผู้ชายในค่าย “
“ อันที่ 3 มาจากดอกไม้ประจำจังหวัดที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด “
“ ดอกอะไรครับ “
“ ดอกกะเจียวไง”
“ ลองกลับภาพดอกกะเจียวจากโพสสิทีฟเป็นเนกกาทีฟ ลดทอนรายละเอียดออกไป
“
“ อ้อครับ “
“ อันสุดท้ายสื่ออกมาตรง ๆ เลย รูปเครื่องคอมพวิเตอร์แปลว่าค่ายนี้
ค่ายคอมพิวเตอร์แน่นอน
“ ครับ เดี่ยววันนี้จะเอาไปให้ที่ประชุมดู “
ประมาณ 1 อาทิคย์ผ่านไป
คราวนี้ได้เปลี่ยนมาประชุมที่ชมรมอีสานแทน
เพราะดูท่าทางจะสะดวกสะบายกว่า
แล้วก็ถือเป็นครั้งแรกครับที่ได้ขึ้นไปบนชมรมอีสาน โหโคตรใหญ่เลย
มีห้องหับมากมาย พื้นที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพียบ
นี้เป็นผมนะมานอนที่นี้เลยดีกว่า
ตอนนี้คนเริ่มทะยอยกันเข้ามาที่ประชุมกันแล้วละ
มาครั้งนี้ได้เห็นบุคลากรของชมรมอีสานกันอย่างเต็ม ๆ กันเสียที
การประชุมวันนั้นเป็นการชี้แจงของหัวหน้าแต่ละฝ่าย
ไล่มาตั้งแต่ฝ่ายนันทนาการยันฝ่ายวิชาการ
อืมลืมบอกไปพิธีก่อนเข้าประชุมทุกครั้งส่วนใหญ่แล้วจะต้องมีพิธีแนะนำตัวอยู่เสมอเลย
ในการประชุมครั้งนี้ไม่มีอะไรมากทุกอย่างเรียบร้อยดี
และแล้วปกหนังสือผมก็ผ่านที่ประชุม
ได้เป็นปกรูปหน้าเด็กหญิงและเด็กชายรุ่นประหยัดหมึก
ไม่มีความเห็น