โสภณ เปียสนิท
นาย โสภณ เปียสนิท ตึ๋ง เปียสนิท

ปีพุทธศักราช 2564


โสภณ เปียสนิท

.....................................................

วัดแห่งนั้นตั้งอยู่ริมทางถนนเพชรเกษม ผ่านไปผ่านมาต้องมองเห็น เพราะโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขาข้างทาง มองแล้วน่าสนใจว่า คนเก่าแก่ของไทยคิดอย่างไร จึงสร้างวัดกันบนภูเขา ทั้งที่โดยแท้แล้ว การสร้างวัดบนเขายากกว่าการสร้างบนพื้นที่ราบเรียบโดยทั่วไป ครั้งกระนั้นจำได้ว่า ผมแวะไปทำบุญตามที่เห็นสมควร พบหลวงพ่อรูปหนึ่ง ท่านชรามากแล้ว แต่ดวงตาท่านเป็นประกาย เหมือนมีอำนาจอะไรบางประการอยู่ภายดวงตาคู่นั้น

แนวต้นไม้เบื้องหลังพระอาจารย์รูปนั้น บังแสงแดดยามบ่ายลดความร้อนลงได้หลายองศา การเข้าวัดทำให้เกิดความร่มเย็น เป็นคำกล่าวที่ถูก เพราะอย่างน้อยก็ได้เข้าสู่ร่มเงาไม้ ผมคิดเรื่อยเปื่อยขณะก้มลงกราบพระตามธรรมเนียมชาวพุทธ ซึ่งถือกันว่า การกราบผู้ที่มีศีลสูงกว่าเป็นมงคล พระสงฆ์มีศีล 227 ข้อ ตกหล่นไปบ้างสองสามข้อก็ยังมากกว่าเราๆ ท่านๆ ที่ดำรงสถานะเป็นฆราวาสผู้ครองเรือนทั่วไป

พระอาจารย์มองหน้าผมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ด้วยความเมตตาอารีย์ “มาจากไหนเล่าโยม” ท่านกล่าวเสียงทุ่มๆ “มาจากบ่อนไก่ครับ” ท่านนั่งนิ่งสักครู่ “เอ บ่อนไก่อยู่ตรงไหนหรือ” “บ่อนไก่ในเมืองหัวหินครับ” ท่านยิ้ม “อ่อ อยู่แถวนี้เอง จะไปไหนละ วันนี้” ท่านถามต่อเหมือนเจตนาชวนคุย เป็นการต้อนรับแขกตามแบบของท่าน “ใกล้ปีใหม่แล้ว ผ่านวัดเลยลองแวะเข้ามาเยี่ยมชมครับ” พระอาจารย์ขยับเปลี่ยนท่านั่งขับไล่ความเมื่อยขบของสังขาร

“ดีแล้วโยมที่มาวัด เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้จักวัดกันเท่าไรแล้ว โดยมาวัดแสดงว่า ค่อนข้างจะเป็นคนรุ่นเก่าหน่อย ยังมีความผูกพันกับวัดอยู่บ้าง” พระอาจารย์คงพูดตามความรู้สึกอันแท้จริงของท่าน “ครับ ผมค่อนข้างเก่าครับ คนรุ่นเก่าอยู่กับวัด เกี่ยวพันกับวัด มีชีวิตผ่านวัด บางคนอยู่วัด เหมือนมีวัดเป็นบ้านด้วยซ้ำ” ผมเล่าให้ท่านฟังจากชีวิตจริง ท่านหัวเราะ “เรามันคนรุ่นเดียวกัน เข้าใจกัน แต่คนรุ่นใหม่ กลิ่นของวัดมันจางลงไปมาก อาจไม่ค่อยจะรู้จักวัดเท่าไร”

ผมยิ้มรับคำกล่าวของหลวงพ่อ “ครับท่าจะจริง ตอนนี้วัตถุนิยมมาแรงเหลือเกิน”  คิดเอาเองตามภาพที่เห็นจากสังคมจริง เด็กๆ เล่นมือถือกันตั้งแต่เล็ก ในมือถือมีทุกสิ่งทุกอย่างให้ค้นหา แค่เพียงคลิ๊กนิ้วมือลงบนหน้าจอ สิ่งต่างๆ ก็วิ่งพล่านผ่านไปมาให้หยิบจับฉวยเอาอย่างง่ายดาย มีทั้งสิ่งที่เป็นบวก สิ่งที่เป็นลบ สิ่งที่เป็นกลางๆ ทั้งที่เป็น “รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส”

ความคิดมาสะดุดอยู่ตรงคำถามที่คิดไว้ว่าจะถามหลวงพ่อ “หลวงพ่อขอรับ ทำไมคนเก่าก่อนชอบสร้างวัดบนภูเขาครับ” ท่านนั่งนิ่งสักครู่หนึ่ง คงคิดว่า อิตานี่มายังไงกัน ถามแปลกไม่เหมือนคนอื่น “อ่อ ไม่น่าจะมีอะไรมากหรอก แค่ว่า ภูเขาเป็นของสูง เพื่อเป็นการแสดงปริศนาธรรมให้แก่ชาวพุทธว่า วัดเป็นสถานที่สูงส่งเพื่อการค้นคว้าทางจิตวิญญาณ ทำวิญญาณของคนให้สูงขึ้นกว่าเดิม คนโบราณเขาสร้างวัดด้วยความเคารพในพระรัตนตรัยจึงเอาไว้สูงหน่อย”

ท่านหยุดยกกาน้ำชาจากด้านข้างมาใกล้ๆ แล้วยกกาน้ำชาออกมารินใส่ถ้วย ก่อนหยุดนิดหนึ่งหันมามองทางผม “น้ำดื่มของโยมอยู่ที่ลานหน้ากุฏินั่น อาตมาไม่ได้ถือมาด้วย” ผมพนมมือขึ้นกล่าวขอบคุณท่าน “ไม่เป็นไรครับ ผมดื่มน้ำมาแล้ว” พระอาจารย์ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบแล้วกล่าวต่อ “อีกอย่างหนึ่ง วัดอยู่บนที่สูงเด่นทำให้เห็นได้ง่าย กันญาติโยมมาวัดไม่ถูก เป็นการเตือนสติชาวพุทธว่า ยังมีวัดเป็นที่พึ่งทางใจอยู่นะ” คิดดูก็เข้าที ตามที่พระอาจารย์ท่านว่ามา

สรุปได้ความว่า ชาวพุทธถือว่าวัดคือตัวแทนของพระรัตนตรัยเป็นของสูง และต้องการให้คนได้เห็นวัด เพื่อจะได้คิดถึงวัดไว้เสมอ

เมื่อเข้าวัดแล้ว คิดอยู่ว่าอยากได้คำอวยพรจากพระไปฝากเพื่อนร่วมโลกสักหน่อย “ใกล้ปีใหม่แล้ว ขอหลวงพ่อกล่าวอำนวยพรแก่ญาติโยมสักหน่อยครับ” ท่านยิ้มน้อยๆ “เอ เห็นมาเงียบๆ ง่ายๆ แต่ว่าคำขอนี่สำคัญทีเดียว อาตมาขอพูดตามประสาพระนะโยม ชาวบ้านทั่วไปอาจฟังไม่ค่อยจะเข้าใจ ปีใหม่ชาวพุทธเรา ควรเร่งคิดว่า วันเวลาที่ผ่านมาเราทำความดีอะไรไว้บ้างหรือยัง ถ้าทำมาบ้างแล้ว หรือไม่ได้ทำเลย ก็กลับมาคิดเร่งทำความดีโดยเร็ว ให้มากเท่าที่เราจะทำได้ จึงจะถือว่าเป็นบัณฑิตในทางพระศาสนา เพราะว่าชีวิตของคนเราไม่แน่นอน ไม่นานก็สิ้นสุดลง ดังที่ญาติโยมก็เคยเห็นกันอยู่แล้ว เกิดแก่เจ็บตาย เหมือนกันทุกคน ความดีที่ว่าคือ การทำทานไว้เสมอ รักษาศีลไว้เสมอ ภาวนาไว้เสมอ เท่านี้แหละ ขอให้พระรัตนตรัยคุ้มครองทุกคนมีสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลพิบูลย์พูนผลทุกประการ”

หลวงพ่อกล่าวคำอำนวยพรยาวจบลงผมตั้งใจที่ศูนย์กลางกายกล่าวคำว่า “สาธุ” รับพรจากท่าน “หลวงพ่อให้พรยาว ผมขอสอบถามเพิ่มเติมนะครับ” “ได้เลยโยม ดีเหมือนกัน จะได้ครบหัวใจนักปราชญ์ ครบ สุจิปุลิ สุตะ ฟัง จิ คือจินตะคิด ปุคือปุจฉา สอบถาม ลิคือลิขิต เขียนจัดบันทึก” พระอาจารย์กล่าวอย่างอารมณ์ดี

ผมนึกถึงคำอวยพรของท่าน “หลวงพ่อสอนให้นึกถึงความตาย” “ใช้แล้วโยม คิดถึงความตายไว้เสมอจะได้ไม่ประมาทในชีวิต แถมได้บุญเยอะ” “เอ หลวงพ่อครับ แค่นึกถึงความตายแล้วได้บุญอย่างไรครับ” “ภาวนา พุทโธ ได้บุญอย่างไร คิดถึงความตายก็ได้บุญอย่างนั้น เพราะ พระรัตนตรัยคือแก้วสามดวง เหมือนเชือกสามเกลียวประสานเป็นดวงเดียวกันคิดถึงสิ่งใดก็เชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด”

“เราภาวนาว่า พุทโธๆๆๆ ได้ จิตใจชุ่มชื่นเบิกบานดี แต่ภาวนาว่า ตายๆๆๆ มันอย่างไรชอบกล จะได้บุญหรือครับ” ผมยังคลางแคลงสงสัยไม่หาย พระอาจารย์จึงตอบว่า “คำว่าตาย ถือว่าเป็นหลักธรรมขั้นสูง คนที่มีบุญวาสนามาเดิม มีปัญญารู้ความจริงของชีวิตว่า เกิดแล้วย่อมตายไปเป็นธรรมดา คนผู้คิดถึงความตาย จึงถือว่าเป็นผู้คิดถึงธรรม คิดถึงมากได้บุญมากนะโยม” ฟังหลวงพ่อแล้วทำให้อยากภาวนาว่า “ตายๆๆๆ” ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

“หลวงพ่อสอนให้ทำความดี คือ ทาน ศีล ภาวนา” ผมทบทวนคำสอนของท่าน หลวงพ่อยิ้มยินดีที่ผมจำคำที่ท่านสอนได้ “จับประเด็นได้ดีมากโยม แต่เข้าใจเรื่องทานศีลภาวนาดีไหม” “พอเข้าใจครับ แต่ไม่ค่อยชัดเจน ทำแค่แบ่งปันสิ่งของ ถวายสังฆทานครับ ตักบาตรทุกวันพระ คิดว่าคงพอแล้วครับ”

“ชาวพุทธในบ้านเรา มักทำอย่างที่โยมว่ามา บางคนตักบาตรทุกวัน ก็พอแล้ว บางคนถวายสังฆทานบ่อยๆ ก็พอแล้ว แต่ก็ควรที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งลงไปอีกหน่อย จึงจะดี และเป็นชาวพุทธที่แท้ยิ่งขึ้นตามระดับ” หลวงพ่อเมตตาอธิบายต่อเติมความรู้ให้แก่ผม” ฟังหลวงพ่อแล้วทำให้ผมงง “มีระดับด้วยหรือครับ ชาวพุทธเรา” ถามท่านเพื่อจะยกระดับความรู้ให้ตนเอง

“ดีมากโยม เริ่มจากทาน แยกได้หลายทาน ให้สิ่งของเรียกอามิสทาน ให้ความรู้เรียกวิทยาทาน ให้อภัยเรียกอภัยทาน ให้ธรรมเป็นทานเรียก ธรรมทาน เห็นไหมมีตั้งหลายระดับ” ท่านอธิบายได้ชัดเจนดี “แหม หลวงพ่อครับ หลายทานอย่างว่าจริงด้วย เป็นระดับๆ เชียว”

“มาถึงข้อศีล ชาวไทยเราไม่ค่อยจะให้ความสำคัญเท่าไร แต่เป็นระดับที่สูงขึ้น ชาวพุทธต้องพัฒนาตนเองไปสู่ระดับที่สูงขึ้นจึงจะดี ต้องไม่ฆ่า ไม่ทรมาน ต้องไม่ลักขโมยของคนอื่น ต้องไม่ผิดลูกเมียคนอื่น ต้องไม่โกหกมดเท็จ ปลิ้นปล้อนตะลบตะแลง ต้องไม่ดื่มสุรายาเมาทำให้สติสัมปชัญญะขาดลงน้อยลง” หลวงพ่อพยายามอธิบาย

“เอ หลวงพ่อครับ ดูว่าจะยากนะครับ” ผมว่า ตามที่เข้าใจ “ก็เอาแบบง่ายซิโยม” พระท่านแย้งกลับมาจนผมงงอีกครั้ง “มีแบบง่ายด้วยหรือครับ ดีจัง ผมชอบแบบง่าย” ผมยินดีที่มีหนทางที่ง่าย “ใช่ๆ โยม ได้แล้วเอาไปเผยแพร่ให้คนอื่นได้ทำตามด้วยหละ” “ครับ ถ้าผมเข้าใจและทำได้นะครับ แต่ว่าแบบง่ายจริงๆ นะครับ” “แหม โยม ไม่ค่อยเชื่อใจพระเลยนะ ลองฟังก่อนแล้วกันว่าจะง่ายจริงไหม”

“ครับ ดีใจจริงๆ ที่ได้แวะเข้ามานมัสการหลวงพ่อวันนี้” ผมแสดงความยินดีจนออกนอกหน้า “ศีลมีห้าข้อ ไม่ฆ่าไม่ลักไม่ผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มเหล้า ง่ายสุดคือรักษาทีละข้อ คิดว่าพอทำได้ไหม” พระท่านถามแบบลองกำลังใจผมดู ผมเองฟังแล้วก็ยังไม่เห็นว่าง่ายเท่าใด แต่ก็ง่ายกว่ารักษาทีเดียวครบห้าข้อ “คิดว่าพอได้ครับ แต่ว่ายังไม่ง่ายเท่าไรนะครับ” ผมแสดงความอ่อนแอให้ท่านเห็นจนท่านทำหน้าสงสาร

“ถ้ายังเห็นว่ายาก ก็ตั้งใจรักษาทั้งห้าข้อนั้นแหละ แต่ให้สู้ตอนนอนหลับยามค่ำคืนแทน” พระท่านโอนอ่อนผ่อนผันให้อย่างถึงที่สุด “ยังไงครับท่านอาจารย์” ผมคงทำหน้างงจนท่านออกขำๆ ในสีหน้า “ก็ก่อนนอนโยมตั้งใจสมาทานศีลห้าข้อว่าจะไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มเหล้าในยามที่หลับอยู่ ตราบจนกว่าจะตื่น ยามหลับโยมคงไม่ได้ไปฆ่าไปลักไปผิดในกาม ไปพูดเท็จ ไปดื่มเหล้าแน่ๆ ใช่หรือเปล่าโยม” พระถามจนผมสะดุ้ง เพราะกำลังงง

ตอบรับกลับแบบไม่ต้องคิด “ใช่ครับ หลับไม่ทำผิดศีลแน่ ถ้าตื่นละครับ” ผมถามท่านแบบไม่ฉลาดนัก “ตื่นก็เป็นอีกเรื่องเราไม่ได้ตั้งใจรักษาตอนตื่น” เอ ง่ายจริงนิ ผมแอบคิดในใจ “แล้วมันจะดีหรือครับหลวงพ่อ” ผมเลื่อนตำแหน่งพระอาจารย์ให้เป็นหลวงพ่อโดยอัตโนมัติ

“ดีซิโยม รักษาตอนหลับไปบ่อยเข้า นานเข้าจิตก็คุ้นชินกับการรักษาศีล เห็นข้อดีของการรักษาศีลแล้วจึงค่อยๆ มารักษาในตอนกลางวันได้ง่ายๆ ถือว่าจิตเป็นบุญแล้ว” “สาธุครับ แล้วข้อภาวนา ครั้งหน้าผมจะกลับมารับฟังอีกครั้งนะครับ” พระยิ้มน้อยๆ “ได้เลยโยม ว่างก็เข้ามานะ สวัสดีปีใหม่แล้วกัน”


หมายเลขบันทึก: 688606เขียนเมื่อ 28 มกราคม 2021 10:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม 2021 10:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท