ความคิดเห็น เรื่อง “สถานการณ์ดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการทำประโยชน์เพื่อสังคม” ของ บริษัทบางจากปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน)


                (บทสัมภาษณ์ความคิดเห็นลงในรายงานวิจัย เรื่อง คุณธรรมในธุรกิจ : สถานการณ์ดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการทำประโยชน์เพื่อสังคม โดย นางจุฬา สุดบรรทัด ภาคผนวก 2 หน้า 84 นำเสนอปี 2549)

                อาจารย์ไพบูลย์รู้จักบางจากฯ ตั้งแต่คุณโสภณ  สุภาพงษ์ เป็นผู้จัดการ แต่มารู้จักมากขึ้นปี ๒๕๓๑ จำได้ที่บางจากฯ ทำงานกับชุมชน อาจารย์ไพบูลย์ก็เริ่มทำงานกับชุมชน ปี ๒๕๒๙ โดยเริ่มดำเนินการเต็มเวลาอย่างจริงจัง ปี ๒๕๓๑

                            ภาพลักษณ์ของบริษัทบางจากฯ สมัยนั้น เห็นว่า พยายามทำงานเพื่อสังคมชัดเจน สมัยนั้นอาจารย์ไปบางจากฯ บ่อย เป็นเครือข่ายโดยร่วมวงกับกระบวนการพัฒนาด้านต่าง ๆ เท่าที่จำได้มีเครือซิเมนต์ไทย เครือสหพัฒน์ และบางจาก แต่หลัง ๆ ไม่ค่อยได้ยินที่บางจากต่างคือ ๑. ทำให้โรงกลั่นไปกับธุรกิจ เช่น เปิดปั๊มสหกรณ์ การให้ชาวบ้านขายของผ่านร้านค้า ๒. ให้พนักงานเข้ามามีบทบาท ๓. ทำโดยเข้าไปร่วมกับผู้อื่น ทั้งในระดับความคิด เคลื่อนไหวกระบวนการ และปฏิบัติการ

                            การที่บริษัทบางจากฯ ใช้แนวคิดการทำธุรกิจควบคู่กับการทำประโยชน์เพื่อสังคมนั้น ที่จริงธุรกิจกับประโยชน์ประชาชนกลมกลืนกันอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้ ประชาชนจะไม่ซื้อ เพียงแต่จุดเน้นต่างกัน แต่ถ้ากลมกลืนลึกซึ้งอย่างที่บางจากทำเป็นเรื่องที่ยากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ ที่อื่น ๆ ทำก็มีที่กลมกลืนที่ทำกับชาวบ้านที่มาดูแลเลี้ยงไก่ ปลูกพืช หรือธนาคารกรุงเทพให้สินเชื่อยุคบุกเบิกผ่านเกษตรกร

                            การดำเนินกิจกรรมของบริษัทบางจากฯ ที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบันไม่ได้สังเกตว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่

                            กิจกรรมส่วนใหญ่ที่บริษัทบางจากฯ ได้ทำเพื่อสังคม สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมหรือไม่นั้น เห็นว่าสังคมใหญ่ซับซ้อนมาก องค์กรหนึ่งทำได้เท่าที่วิสัยจะทำได้ ถ้าแห่งหนึ่งทำดี คนอื่นเห็นดีจะได้เอาอย่าง

                            กิจกรรมของบริษัทบางจากฯ ที่ควรได้รับการสนับสนุนคงมีความหลากหลาย แล้วแต่ผู้เกี่ยวข้องมาปรึกษากัน จะมากำหนดรูปแบบก่อนไม่ได้ การทำอะไรขึ้นกับสถานการณ์และคนเกี่ยวข้อง ไม่ควรมีสูตรตายตัว

                            สังคมควรมีบทบาทในการผลักดันให้องค์กรธุรกิจได้เข้ามาร่วมช่วยเหลืออุ้มชูสังคม โดยทำได้หลายรูปแบบ

                            ๑. เห็นใครทำดีก็สนับสนุนอย่างมั่นคงเหนียวแน่น ซื้อสินค้า ถือหุ้น

                            ๒. ให้ความสนใจมีการติดตามศึกษาเปรียบเทียบ เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น แลกเปลี่ยนเรียนรู้ สิ่งที่จะทำขยายวง

                            ๓. อาจยกย่องเชิดชูเกียรติ ให้คุณค่าต่อคนดี ส่วนคนที่ไม่ดีมีผลเสีย ถ้าสังคมเห็นคงไม่จำเป็นถึงขั้นต้องต่อต้านก็เพียงแต่ไม่นิยม ไม่ซื้อสินค้า ไม่ถือหุ้น

                            ๔. ฝ่ายวิชาการมีการศึกษาวิจัยให้เห็นทั้งดีและไม่ดี ควรศึกษาธุรกิจที่รัฐทำด้วย เช่น ยาสูบ และกิจการที่มีลักษณะการพนัน

                            เรื่องธุรกิจกับสังคม เชื่อว่ามีมาแต่เราไม่ได้ค้น ขณะเดียวกันการทำประโยชน์ก็มีหลากหลาย ทำให้ดี ซื่อสัตย์ ขายสิ่งที่เหมาะสม ไม่เสียสมดุล ก็ดี ไม่จำเป็นต้องทำอย่างบางจาก

                            องค์กรที่ได้ทำธุรกิจเพื่อสังคมอย่างแท้จริงในประเทศไทยมี ๑. บางจาก (แต่ไม่ทราบเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร) ๒. สหพัฒน์ สายคุณณรงค์ กลุ่มแพน ๓. ออมสิน ซึ่งอาจารย์ไพบูลย์พยายามทำให้การทำงานของออมสินกับการทำประโยชน์ให้สังคมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยมีแนวคิดว่า ธนาคารเจริญ สังคมได้ประโยชน์ พนักงานเป็นสุข เพราะการทำประโยชน์ต้องทำอย่างยั่งยืน เกื้อกูลกันอย่างสมดุล ถ้าไม่สมดุลจะไม่ยั่งยืน

                            การที่ยุค ๒๐๐๐ นี้ กระแสโลกให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการทำประโยชน์เพื่อสังคม ถึงกับบรรจุเข้าไว้เป็นหลักสูตร และมีการทำวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาเอก ถือเป็นเรื่องที่ดี และควรมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นการยกระดับความรู้ให้ดีขึ้นไปอีก

                            การดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมจะสามารถช่วยเศรษฐกิจ สังคม การเมือง/สภาวะโดยรวมของประเทศได้ โดยพยามยามทำมากขึ้น คนไปประยุกต์ต่อ ผลในที่สุดก็เยอะ

                            การดำเนินการตามแนวคิด ทำธุรกิจควบคู่กับการทำประโยชน์เพื่อสังคม มีผลต่อบริษัทบางจากฯ และสังคม ก็อาจเป็นทัศนคติ ท่าที การสื่อความ จึงไม่น่าสรุปว่า เพราะทำประโยชน์จึงมีปัญหา เพราะอย่างน้อยสังคมก็ตอบรับดี ทำประโยชน์...ดี เป็นการทำหน้าที่ที่ดี เพื่อจะได้ค้นหาอะไรดี ๆ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับรัฐ คงเป็นเรื่องบุคคล

                            นอกจากที่ให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ อาจารย์ไพบูลย์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมปีแห่งการพัฒนางานอาสาสมัครไทย เคยกล่าวถึงจิตวิญญาณอาสาสมัครและบริษัทบางจากฯ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ๒๕๔๖ ชมรมรัฐวิสาหกิจเพื่อชุมชน เมื่อ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๖ ณ ห้องประชุมใหญ่บริษัทบางจากฯ ในโอกาสที่อาจารย์ได้รับเชิญมาให้ความรู้สมาชิกชมรมฯ เรื่อง กิจกรรมงานอาสาสมัครไทย ความตอนหนึ่งว่า เทคโนโลยีไม่มีจิตใจ แต่คนซึ่งเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีมีจิตใจ คนจึงควรเป็นนายของเทคโนโลยี คนและสังคมควรมีความเมตตา กรุณา (Compassion) จิตวิญญาณที่สำคัญ คือการนึกถึงคนอื่นมากกว่าตนเอง ซึ่งในที่สุดจะเกิดผลสะท้อนกลับมาเอื้อต่อผู้มีจิตวิญญาณนั้นเอง ตัวอย่างเช่น กรณีบริษัทบางจากฯ ซึ่งทำความดีมาตลอด จึงได้รับผลดี ทำให้บริษัทอยู่รอดได้ 

                            ปัจจุบันในองค์กรต่าง ๆ เกิดชมรมมากมายเป็น Corporate social investment กิจกรรมกึ่งอาสาสมัครเกิดผลดีด้านอื่นด้วย จำเป็นอย่างยิ่งที่น่าส่งเสริมโดยเฉพาะคนรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งยังมีเวลามากในการ ให้ กับสังคม

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม

22 ธ.ค. 49
คำสำคัญ (Tags): #รัฐมนตรี
หมายเลขบันทึก: 68741เขียนเมื่อ 22 ธันวาคม 2006 10:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 23:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ไพบูลย์...

  • ขอแสดงความเคารพท่านอาจารย์... เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่สากล

ขอคุณความดีในสากลโลก ตลอดทั้งคุณงาม ความดีที่ท่านอาจารย์ได้อบรม เจริญมาเป็นเวลาอันยาวนาน...

  • โปรดปกปัก รักษา คุ้มครอง เกื้อกูล สนับสนุนท่านอาจารย์ให้ทำงานช่วยชาติ พลิกฟื้นคืนแผ่นดินได้สำเร็จครับ...

เร็วๆ นี้ (16 ธันวาคม 49) ผมไปกัมพูชา...

  • ทหารเกณฑ์ท่านหนึ่งจากสระแก้ว ไปทำงานที่นราธิวาสท่านบ่นว่า ค่าเสี่ยงภัยตั้งแต่เดือนตุลาคม 49 ยังไม่ได้รับเลย
  • เรื่องนี้ได้เขียนเป็นบันทึกเรื่อง "เสียงเงียบจากทหารนราธิวาส"
  • โปรดคลิกที่นี่ [          Click          ] หรือที่นี่... >>>>> http://gotoknow.org/blog/talk2u/69856
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท