“เวลาวุ่นวายสร้างคนแข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งสร้างเวลาที่ดี เวลาที่ดีสร้างคนอ่อนแอ และคนอ่อนแอสร้างเวลาที่วุ่นวาย” –G Michael Hopt.
ความลึกซึ้งของความง่ายจากโควทที่ยกมาเป็นเรื่องจำกันได้อยู่แล้ว ลองพิจารณาดูว่ามันเข้ากับวิถีชีวิตของเราสิ
ก็เป็นเช่นเดียวกับส่วนที่เหลือของโลก รุ่นที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกเหนือจากการเข้าร่วมในสงคราม รุ่นของเรายังเป็นพยานถึงการเปลี่ยนแปลงของสยามครั้งใหญ่ การปกครองของ 3 รัชกาล (ร.7-ร.9) และจุดสิ้นสุดของสงครามเย็น
ไม่เพียงแต่ชนชั้นสูงในสมัยนั้นยังอยู่ พวกเขายังคงเจริญก้าวหน้า ทั้งที่มีกลียุค
หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง พวกชนชั้นสูงบางคน รวมทั้งลูกหลานของพวกเขาด้วยเจอช่องว่างในเศรษฐกิจไทย ที่สามารถขูดรีดทรัพย์สินส่วนเกินและผูกขาดได้ สิ่งนี้จะเกิดหลังสงครามเย็นเป็นต้นไป พร้อมๆกับมีการเพิ่มการลงทุนจากต่างชาติ เช่นทุนอเมริกัน (และอิทธิพลทางการเมือง) มันก่อให้เกิดความจำเริญทางเศรษฐกิจ และพลวัตทางธุรกิจ ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
หากมองดูที่รายชื่อครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจากจากนิตยสาร Forbes และธุรกิจที่มีครอบครัวเป็นเจ้าของจาก SET50 จะเปิดเผยให้เราเห็นถึงพลวัตรทางเศรษฐกิจที่เรากล่าวก่อนหน้านี้ว่าเกิดขึ้น หรือเริ่มต้นเข้าครอบงำในช่วงเดียวกันนี้
จริงแล้ว มันเป็นการยากที่จะหาธุรกิจที่มีครอบครัวเป็นเจ้าของภายหลังจากการสิ้นสุดสงครามเย็นนี้ และไม่สามารถเข้าไปถึงความร่ำรวยระดับนี้ได้
ถึงที่สุดแล้ว พวกเขาคือผู้ก่อตั้งทุนนิยมประเทศไทยสมัยใหม่ และประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งล้วนแต่มีมลทินและอ่อนแอมากๆ
หากมองดูที่ธุรกิจที่ดำเนินการโดยครอบครัวแล้วหละก็ การจัดการของพวกเขาเป็นอำนาจนิยม ที่ระบบความเป็นพ่อเป็นผู้ตัดสินใจในที่สุด ลูกชายและลูกสาวของพวกเขาไม่สามารถดำเนินไปในวิถีทางที่ตนเองชอบได้ แต่ต้องช่วยขยายธุรกิจภายในครอบครัวให้กว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น
พวกรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ สร้างธุรกิจโดยมีความรับผิดชอบแค่ประการเดียวคือดำเนินตามระเบียบของความเป็นพ่อ และไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่ได้สร้างนวัตกรรม ไม่ตั้งคำถาม เพียงแต่เชื่อฟังแบบดาดไปก็เท่านั้น
เพราะว่าธุรกิจครอบครัวเหล่านี้เป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศไทย และจะไม่มีการท้าทายใดๆเกิดขึ้น และพวกเบบี้ บูมเมอร์ ที่ทำอยู่ก็แค่เพียงอาศัยแต่ความสำเร็จของครอบครัวเท่านั้น
ถึงแม้ว่าธุรกิจครอบครัวจะครอบงำประเทศไทยทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองอยู่โดยมากในปัจจุบัน แต่พวกเบบี้ บูมเมอร์กลับถูกท้าทายจากพวกเจน Z ซึ่งมีวิธีคิดและคุณค่าแตกต่างจากพวกรุ่นนี้ไปมาก
หลังจากที่ไม่เคยตั้งคำถามกับอำนานนิยม แต่พวกบูมเมอร์กำลังทนทุกข์ทรมานกับพวกเจน Z ที่ตั้งคำถามกับอำนาจนิยม และคุณค่าของประเพณีเก่าๆ แทนที่จะยอมรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่พวกบูมเมอร์ยังที่ยังอยู่ในอำนาจกลับซ่อนตัวอยู่ในความคุ้นเคย (comfort zone) และดำรงอยู่แต่สัญชาตญาณของคนเผ่า (native instinct) ที่จะรักอนุรักษ์ และดำรงอยู่ในที่ที่พวกเขาเห็นว่าสมควร นั่นคือ ยอมตนต่อและกล่าวอ้างอย่างเสียงดังเรื่องความภักดีต่อสถาบันที่พวกเขานับถือ
ข้อเท็จจริงที่น่าสมเพชก็คือเจนที่มีอำนาจในปัจจุบันนี้อ่อนแอเกินไป และไม่กล้าเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ และไม่สามารถวิวัฒน์อยู่บนโลกดิจิตัลและการทำล้างของเดิมได้ แล้วสร้างสิ่งของนั้นขึ้นมาใหม่ได้ (disruption) พวกเขากลัวที่จะตั้งคำถามกับสถานภาพ และประเพณีโบราณ พวกเขากลัวเจนใหม่ๆ และต้องรับผิดชอบต่อการทำให้ประเทศไทยย้อนกลับไปในอดีตอีกด้วย
แปลและเรียบเรียงจาก
Thai Enquirer. Opinion: Baby Boomers can’t adapt to change because they weren’t taught to
ไม่มีความเห็น