วันนี้ได้โอกาสเขียนอย่างเป็นทางการ หว้าคงต้องขอแนะนำตัวเองก่อนนะคะ จังหวัดพิษณุโลกถือเป็นบ้านเกิด แต่ครอบครัวเราต้องย้ายไปอยู่จังหวัดอุตรดิตถ์ พอคุณพ่อคุณแม่เกษียณท่านก็ย้ายมาสร้างบ้านอยู่ที่พิษณุโลก หว้าเองไม่ชอบเป็นอาจารย์เหมือนคุณพ่อคุณแม่ เพราะรู้สึกว่ารายได้น้อย ทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน พอเรียนจบท่านก็ให้หว้าไปสมัครเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนี่ง พอถึงวันสอบเราก็หนีไปทำงานที่อื่นเลย การกระทำของเราครั้งนั้นทำให้คุณแม่โกรธมากไม่ยอมพูดด้วยหลายเดือนทีเดียว
มาถึงวันนี้เราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานมาหลายอย่าง พอคุณพ่อคุณแม่มาสร้างบ้านที่พิษณุโลก(คุณแม่หายโกรธแล้ว) หว้าก็เลยย้ายกลับมาอยู่กับท่านและชวนท่านเปิดร้านอาหาร ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่เราเรียนมาเลย สนุกสนานกับร้านอาหารได้ 3 ปี คราวนี้ คุณแม่ขอร้อง ให้หว้าทำในสิ่งที่หนีมานับ 10 ปี นั่นก็คือ การเป็นอาจารย์ สิ่งที่หว้าต้องตัดสินใจเลือกระหว่างร้านอาหารซึ่งกิจการกำลังไปได้ดี และหว้ามีเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างสบาย
ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกสมัครเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏตามรอยคุณพ่อ พอมาเป็นอาจารย์ก็เริ่มรู้สึกว่าเราจะใช้เงินแบบเก่าไม่ได้แล้วนะ เพราะเงินเดือนอันน้อยนิด ขอสารภาพตามตรงว่าใช้เงินเก็บจนหมด เวลาผ่านไปจน 4 ปีแล้ว เหนื่อยจังกับการเป็นอาจารย์ ทุกวันนี้ก็ยังมีลูกค้าเก่าถามว่า "นึกยังไงถึงปิดร้าน และเมื่อไหร่จะเปิดอีก" บางคนถึงกับบอกว่าจะลงทุนทำร้านอาหารแล้วให้เราไปบริหารจัดการให้
แต่....หว้าก็ยังคงเป็นอาจารย์อยู่จนทุกวันนี้ คราวนี้ไม่ใช่เพราะการขอร้องของคุณพ่อคุณแม่ แต่เป็นคำพูดของผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งท่านกล่าวว่า
" เด็กราชภัฏส่วนใหญ่พ่อแม่ยากจน ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อส่งลูกเรียน เพราะหวังว่าซักวันนึงพวกเขาจะเรียนจบออกมาทำงานดีๆเลี้ยงดูพ่อแม่ต่อไป พ่อแม่ทุกคนฝากลูกของเขาไว้ในกำมือของอาจารย์นะ "
หว้าเองจึงสัญญากับตัวเองว่า ถ้าเด็กคนไหนอยู่ในความดูแลของเรา เขาจะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดกลับไปแน่นอน
นับถืออาจารย์มากเลยครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
แวะมาทักทายและเอากำลังใจมาฝากค่ะ
เด็กต้องการความรักความเข้าใจจากผู้ใหญ่ค่ะ ขอให้อาจารย์ทำงานเพื่ออุดมการณ์เพื่อเด็กที่อาจารย์รัก ต่อไปนะคะ เห็นเขามีความสุข เป็นคนดีของสังคม คนเป็นครูก็พลอยสุขใจไปด้วยค่ะ