โมเดลการฟังจากที่ศึกษามานั้นมีหลายรูปแบบ สำหรับบทความนี้ประกอบไปด้วย
5 ระดับการฟัง ใน Active Listening ตาม ICF ที่เป็นสมาพันธ์โค้ชนานาชาติ
เป็น “ความสามารถในการให้ความสนใจอย่างจดจ่อต่อทั้งคำพูด และสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมา เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อความหมาย” ซึ่งใน Active Listening เราสามารถแบ่งระดับของการฟังได้ เป็น 5 ระดับดังนี้
ระดับ 1 ไม่สนใจฟัง (Non-Listening)
เช่น การไม่สบตาผู้พูด หรือทำท่าทางกริยาที่ยุ่งๆ อยู่ไม่สนใจคนที่อยู่ตรงหน้า การฟังไปเล่นโทรศัพท์ไป เหมือนกับคนพูดยืนพูดคนเดียวอยู่หน้ากระจก
ระดับ 2 แกล้งฟัง (Pseudo listening)
รับคำ พยักหน้า แต่ไม่ได้ฟังจริง เป็นการทำกริยาท่าทางเหมือนฟัง มีตอบรับ ค่ะ อ้อ พยักหน้า แต่พอให้ทบทวนว่า ได้ยินอะไรบ้าง กลับตอบไม่ได้เพราะไม่ได้ฟังจริงๆ
ระดับ 3 เลือกฟัง (Defensive Listening)
เลือกฟังเฉพาะสิ่งที่อยากฟัง หรือคิดว่าเป็นประโยชน์ เป็นการฟังเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ใคร่รู้ เรื่องที่ตนเองคิดว่ามีประโยชน์ เรื่องใดไม่สนใจ ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ก็ไม่ใส่ใจ
ระดับ 4 ตั้งใจฟัง (Appreciative Listening)
ฟังเฉพาะที่อยากรู้ พอได้ข้อมูลก็ไม่ฟังต่อ แต่ว่าเป็นการตั้งใจฟัง เป็นการฟังที่ดีขึ้นมาอย่างมาก รับรู้รับฟัง เรื่องราวเนื้อหาของคนตรงหน้า มีการตอบสนองทางคำพูด หรือตอบรับคำว่า ได้เข้าใจและรับรู้เรื่องราวต่างๆ ฟังเก็บข้อมูลได้ครบเนื้อหาทุกสิ่งอย่าง
ระดับ 5 ฟังแบบเข้าอกเข้าใจ (Listening with Empathy)
เป็นการฟังแบบเข้าใจองค์รวมทั้งเนื้อหา อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด โดยผู้ฟัง ฟังในกรอบของผู้พูด โดยไม่ใช่ความเป็นตัวตนของตัวเองไปตัดสินหรือประเมินใดๆ เป็นการฟังด้วยหัวใจ (listen with heart) ฟังอย่างเข้าใจในตัวตนของผู้พูดจริงๆ การฟังระดับนี้นอกจากผู้ฟังจะสามารถเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนแล้ว ยังสามารถสะท้อนความรู้สึก ความคิด หรืออารมณ์ของผู้พูดในขณะที่ผู้พูดพูดออกมา แต่ไม่รู้ตัวว่าได้แสดงอารมณ์ หรือความรู้สึกอะไรออกมาบ้าง
แล้วการฟังแบบเข้าอกเข้าใจ มันดีอย่างไร?
. จริงๆ แล้วมันเป็นทักษะสำคัญอย่างหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้กับการทำงานได้ หากเราฟังอย่างเข้าใจ โดยไม่ไปรีบด่วนตัดสินในเรื่องนั้นๆที่ผู้พูดต้องการจะพูด ถึงแม้ว่าบางครั้งเราอาจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้พูดพูดกับเราก็ตาม และเป็นไปได้ว่าเราจะเกิด Confirmation bias คือ การพยายามไปหาตัวอย่าง หรืออะไรก็ตามที่พิสูจน์ความเชื่อของเราเหล่านั้น โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่มันขัดแข้งกับความคิดของเราเลย
Active Listening เป็นสิ่งที่สามารถไปประยุกต์ใช้ได้กับทั้งการทำธุรกิจ เช่น การรับฟังลูกค้าอย่างเข้าอกเข้าใจ รู้ไปถึงความต้องการของลูกค้าที่แท้จริง เมื่อเรารู้ความต้องการที่แท้จริงและเราสามารถแก้ปัญหาบางอย่างให้กับเขาได้ สิ่งเรานี้มันดีมากต่อธุรกิจของคุณ
หรือแม้แต่การนำ Active Listening ไปใช้กับความสัมพันธ์ในครอบครัว การฟังอย่างเข้าใจของสามี/ภรรยา หรือแม้แต่สิ่งที่ลูกพยายามจะบอกกับเรา ทำให้เราทราบความต้องการ ความรู้สึก อารมณ์ของเขาอย่างแท้จริง และทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น เมื่อเข้าใจกันมากขึ้นแล้ว ชีวิตเราก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นด้วย
4 ระดับของการฟัง (Four levels of Listening) ตามทฤษฎี Theory U ของ Otto Scharmer
การฟัง 4 ระดับ คือ โมเดลที่ถูกนำมาใช้เพื่อประเมินสภาวะของการฟัง (หรือคุณภาพของการฟัง) โดยเราจะสามารถพัฒนาการฟังของเราได้เมื่อตระหนักรู้ว่าเราอยู่ที่ระดับการฟังไหน และตระหนักรู้ว่าขณะที่เรากำลังฟังตอนนี้ คุณภาพการฟังของเราเป็นอย่างไร เมื่อรับรู้ถึงคุณภาพการฟังของตนเอง เราจะสามารถปรับเปลี่ยน และเพิ่มความใส่ใจในการฝึกปฏิบัติและฟังอย่างลึกซึ้งได้
ระดับที่ 1 ของการฟัง Downloading
การฟังระดับที่ 1 เป็นการฟังในระดับที่เราได้ยินเสียงความคิดของตัวเองเป็นหลัก การฟังในระดับนี้จะมีการตัดสินที่เกิดจากความหมาย, ความเชื่อ, ความคิด, ทัศนคติ แบบเดิมมาตัดสินและคัดแยกข้อมูลให้เราได้ยินเพียงบางด้าน ทำให้การฟังในระดับที่ 1 เรียกว่า downloading
เพราะหลายครั้ง การฟังในระดับที่ 1 นี้จะทำให้เราตอบรับหรือปฏิเสธอะไรจากความเชื่อเดิม เหมือนการ download ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในตนเอง หากมีส่งใดที่ฟังดูเข้ากับชุดความเชื่อเดิมของเรา เราจะเลือกยืนยันและเห็นด้วยกับชุดข้อมูล ชุดความเชื่อนั้น แต่หากมีสิ่งใดที่ไม่เข้ากับชุดความเชื่อของเรา ไม่ว่าคุณจะแสดงออกหรือไม่ ท่าทีปฏิเสธหรือต่อต้านมักจะเกิดขึ้นภายใน
การเอาตนเองเป็นที่ตั้ง เป็นศูนย์กลางนี้เองที่ทำให้การฟังระดับที่ 1 มีลักษณะแบบ I-in-me หรือ ตัวฉันเองที่เป็นศูนย์กลาง
ลักษณะเด่นของการฟังระดับที่ 1 (I-in-me)
ระดับที่ 2 ของการฟัง Factual Listening
การฟังระดับที่ 2 เป็นการฟังที่จะหยุดความคิดภายใน หรือห้อยแขวนการตัดสิน (suspending) และได้ยินสิ่งที่ผู้พูดต้องการสื่อสารออกมา ในการฟังระดับที่ 2 จะไม่เลือกรับฟังสิ่งที่ได้ยินผ่านมุมมอง ความเชื่อของตนเอง และจะปรับเปลี่ยนมุมมองไปยังผู้พูด มีความเป็นกลางมากขึ้นโดยอาจยึดจากข้อมูลหรือหลักฐานสนับสนุนความเชื่อต่างๆ
Otto Scharmer เรียกการฟังระดับที่ 2 ว่าการเปิดความนึกคิด (Open Mind) เพราะในการฟังระดับที่ 2 เราจะสามารถเข้าใจเนื้อหา แม้จะเป็นเรื่องที่เราเคยมีประสบการณ์มาก่อน หรือมีชุดความเชื่อเดิมอยู่แล้ว แต่เราจะไม่เข้าไปตัดสินสิ่งเหล่านั้น การเอาเนื้อหาสิ่งที่ฟังเป็นที่ตั้งทำให้การฟังแบบนี้มีลักษณะแบบ I-in-it หรือมีข้อมูลเนื้อหาเป็นศูนย์กลาง
ลักษณะเด่นของการฟังระดับที่ 2 (I-in-it)
ระดับที่ 3 ของการฟัง Emphatic Listening
การฟังระดับที่ 3 เป็นการฟังที่จะเชื่อมต่อความรู้สึกและอารมณ์กับคนพูด โดยจะสามารถทำความเข้าใจกับผู้พูดได้ว่าเรื่องที่พูดมีความสำคัญอย่างไร โดยมีความเเข้าใจกันเป็นพื้นฐาน เสียงที่ไม่เห็นด้วย ดูถูก ขัดแย้ง จะลดลงเป็นความเข้าใจ
แม้ว่าอาจไม่มีความถนัดในเรื่องนั้นๆ แต่เราจะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้พูดได้ โดยเราเรียกลักษณะการฟังแบบนี้ได้ว่า I-in-you เพราะเป็นการเปิดใจ (Open Heart)
ลักษณะเด่นของการฟังระดับที่ 3 (I-in-you)
ระดับที่ 4 ของการฟัง Generative Listening
การฟังระดับที่ 4 เป็นการฟังที่ฟังเสียงของสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยจะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละชั่วขณะ และปล่อยสิ่งเหล่านนั้นให้ผ่านไป การอนุญาตให้สิ่งต่างๆ ได้ผ่านมา รับรู้การมีอยู่ของมันและผ่านไปคือคุณลักษณะของการฟังในระดับนี้
ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นจากการไม่ยึดติดในความเป็นตัวตนและความกลัว จากการเปิดความตั้งใจหรือเจตจำนง (Open Will) จากการไม่ยึดติดในอดีตและกังวลในอนาคตที่จะเกิดขึ้น การฟังในระดับนี้จึงเรียกว่าเป็น Generative Listening เพราะสามารถทำให้การสนทนามีความคิดที่สดใหม่เกิดขึ้นได้
ลักษณะเด่นของการฟังระดับที่ 4 (I-in-now)
ในการสนทนาครั้งหนึ่ง เราอาจไม่ได้อยู่ในสภาวะเดียวตลอดเช่น ระดับที่ 1 ของการฟัง Downloading แบบ I-in-me ตลอดเวลา หรือ I-in-now ได้ตลอดเวลา นอกจากนั้นยังรวมไปถึงหากเรามีประสบการณ์คุณภาพการฟังในระดับที่ 4 ของการฟัง Generative Listening แล้ว ในครั้งถัดไปเราอาจไม่ได้มีคุณภาพนี้อยู่ด้วยก็ได้ เพราะคุณภาพของการฟังเป็นเสมือนทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆ และสามารถมีคุณภาพลดลงได้หากไม่ได้ใส่ใจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเราควรใส่ใจกับการฟังโดยมีเวลาฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
คุณภาพของการฟังทั้ง 4 ระดับกับการใช้ในสถานการณ์อื่นๆ
คุณภาพการฟัง 4 ระดับ ยังเป็นเภาษาร่วมที่มักถูกอ้างถึงบ่อยๆ ในกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับความร่วมมือ การสื่อสาร และการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเช่น
ในโครงการที่ต้องอาศัยความร่วมมือ
เพราะการฟัง 4 ระดับ เป็นโมเดลการวิเคราะห์ที่ช่วยทำให้เราได้ว่าขณะนี้กลุ่มผู้คนกำลังอยู่ในสภาวะไหน และมีความพร้อมมากแค่ไหน ดังนั้นการฟัง 4 ระดับจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างมีความหมาย และมีคุณภาพทั้งในเชิงความสัมพันธ์ ในเชิงการเรียนรู้ และในเชิงการอยู่ร่วมกัน
CR. และขอบคุณ
ไม่มีความเห็น