สังคมเปลี่ยน ยุคนักเรียนมาแรง


เมื่อปลายปี๖๒ สถานการณ์ของโรคภัย ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั่วโลก ประเทศไทยใช้มาตรการในการควบคุม โดยการประกาศภาวะฉุกเฉินห้ามสัญจรและเคลื่อนย้าย ทำให้ภาวะการทุกอย่างหยุดชะงักลง เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย กิจการหลายอย่างเริ่มขยับ ผู้คนเริ่มผ่อนคลาย ภายใต้สถานการณ์ที่บีบรัด  ณ เวลานี้อีกไม่กี่เดือนจะครบปี ที่การเข้ามาของโรคร้าย ภายใต้การจัดการของรัฐที่ไร้รูปแบบ ทำให้ผู้คนเกิดความคิดต่าง หลายอย่างถูกเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา และเข้าถึงชุมชนทุกหย่อมหญ้าภายใต้ความเร็วของไอที จึงไม่มีอะไรที่จะปิดกั้นข้อคิดความเห็นเหล่านั้น แม้กระทั่งนักเรียน นิสิตนักศึกษา ที่รวมตัวกันออกมาชุมนุมแสดงความคิดเห็น มุมมองที่แตกต่าง และตรงไปตรงมา ดรามาต่อรัฐเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีของประชาชน ที่ถูกใช้เกินความจำเป็น ความไม่เท่าเทียมในการบังคับใช้ของกฎหมาย ระบบความยุติธรรมที่เสียดุล แม้กระทั่งระบบการคัดสรรคนมาเป็นผู้นำ เหล่านี้คือต้นเหตุของความคิดที่แตก มุมมองที่ต่างของคนในชาติ สิ่งที่น่าคิดคือกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องต่างจากเดิม คือ มีนักเรียนนิสิตนักศึกษาเป็นส่วนใหญ่ หากมองย้อนไป ก็เข้าประเด็นครามาของคนรุ่นเก่าที่กล่าวไว้ว่า เด็กไทยคิดไม่ก้าวไกล เพราะถูกสอนในระบบตามผู้ใหญ่ ไม่กล้าแสดงออก  แต่วันนี้ชี้ชัดว่า เด็กไทยคิดไปถึงไหน ผู้ใหญ่ควรสดับ   

หมายเลขบันทึก: 681115เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2020 07:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 สิงหาคม 2020 07:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

Yes I agree with “เด็กไทยคิดไปถึงไหน ผู้ใหญ่ควรสดับ” but not for your reasoning. But more to the “influence of social media” and that younger generations m a y have “imagination” that older generations m a y have been too weary to pay attention to in their ‘practical day-to-day undertaking’.

Lest we forget when we were young and full of dreams. Lest the youth have their days and get their rewards when they have their own families. ;-)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท