ในงานมีสังคมอยู่ข้างใน การจะผลักดันให้ทีมก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จร่วมกันได้นั้น จำเป็นมากๆครับที่ต้องอาศัยคำพูดที่เข้าถึงสังคม ตัวตน จิตวิญญาณของแต่ละคน เหล่านี้จะเรียกว่าศิลปะในการทำงานก็ได้นะ
ผมมักจะบอกกับทีมงานเสมอว่า "เราไม่ได้ทำโครงการแต่เรามาทำชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่จะเกื้อกูลกันยาวไปจนคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ทั้งทุกสิ่งที่เราทำ เราคิด เราพูดกันในแต่ละวันนี้ ฟ้าดินสิงศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานรับรู้ บรรพชนบนฟ้าของเราท่านก็รับรู้ เจ้าที่เจ้าทางเทพยดาที่ปกปักรักษาสถานที่แห่งนี้ก็รับรู้"
อันนี้คำพูด ต้องเปล่งออกจากใจด้วยนะ สีหน้า แววตาเราจะบอกถึงความศรัทธาความตั้งใจที่ส่งออกไป
เราต้อง “มีชีวิต” ก่อนถึงจะชุบชีวิตใครได้
......................................................................................................................................
ชุมชนชาวบ้านจำนวนไม่น้อยอาจจะเริ่มรู้สึกเนือยๆหงอยๆกับคำว่า “กลไก” “ขับเคลื่อน” “ภาคี” “ตัวชี้วัด”
หลายที่น่าจะเริ่มเอียน อะไรๆก็กลไก ขับเคลื่อน จนหัวเคลื่อนหัวเวียนไปตามๆกัน
ผมเองก็พยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำเหล่านี้กับชาวบ้านและชุมชน
ถ้าเรารักชาวบ้านเหมือนเช่นญาติพี่น้องเหมือนที่เราบอกในงาน
เราจะไม่ใช้คำว่า “กลไก” หรือ “ภาคี” กับเขา
เหมือนที่เราจะไม่ใช้คำว่า “กลไก” กับผัว-เมีย-ลูกๆของเรา
เราจะไม่ใช้คำว่า “ภาคีหุ้นส่วน” กับลุงป้าน้าอาของเรา
หรือใครเรียกพ่อแม่ว่าเป็นกลไกของตัวฉันบ้าง?
เรียกอย่างนั้น คงประหลาดคน
............................................................................................................................................
คำว่า “กลไก” “ขับเคลื่อน” “ภาคี” หรืออะไรทำนองนี้ เป็นภาษาแบบ mechanic เป็นภาษาที่สะท้อนและตอกย้ำวิธีคิดแบบฟันเฟืองเครื่องจักร
เป็นภาพของการคิดแบบแยกส่วน ที่พัฒนามาจากฐานคิดทุนนิยมอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานอยู่บนการแข่งขันเอาชนะ
แน่นอนว่ามันก็มีจุดแข็งของมัน โดยเฉพาะในการทำงานกับสิ่งไม่มีชีวิต
แต่หากเราจะใช้กับมนุษย์ซึ่งมีเลือดเนื้อ มีชีวิตจิตใจ ภายใต้โลกทัศน์แห่งยุคสมัยใหม่ที่เน้นการอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้อง การสมานฉันท์ การเห็นความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลและแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเมตตาและปัญญาเกื้อกูล เป็นนิเวศสังคมและจิตวิญญาณที่ไหลเวียนแทรกซึมและส่งผ่านถึงกันและกันเป็นองค์รวมอย่างไม่รู้จบ
เราต้องตัดรากถอนโคนเมล็ดพันธุ์ของการแยกส่วนและการมองคนเป็นเครื่องจักรที่แฝงไว้ในถ้อยคำเหล่านี้ด้วย
..........................................................................................................................................................
แน่นอนว่า ในระดับนโยบายคงหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะองคาพยพของฝ่ายที่ดูแลงานนโยบายเขาฝังหัวฝังรากมาอย่างนั้น ไม่เป็นไร เราก็ค่อยๆปรับกันไป แต่อย่างน้อยที่สุดในระดับปฏิบัติการ หรืออย่างน้อยสุดระดับตำบล และโครงการที่ไม่ได้ใหญ่มาก เราน่าจะปฏิรูประบบถ้อยคำอย่างนี้ออกไปได้แล้วหันมาใช้คำใหม่ๆที่จรรโลงใจและมีจินตนาการร่วมกันได้ง่ายและงามกว่า
เปลี่ยนคำว่า “กลไก” เป็น “กลุ่ม”หรือ “ชุมชน” ก็ได้
เปลี่ยนคำว่า “ขับเคลื่อน” เป็น “เดินหน้า” หรือจะ “โบยบิน” ก็ไม่เลว
เปลี่ยนคำว่า “ภาคีหุ้นส่วน” เป็น “กัลยาณมิตร” อันนี้ไพเราะและครอบคลุมมิติอื่นๆกว่ามาก
ใครจะบอกว่า ถ้อยคำไม่มีผลต่อจิตใจและพฤติกรรม
งั้นเย็นนี้ ไปเรียกคนที่บ้านว่า “ไงจ๊ะ..สุดที่รัก” หรือจะเรียกว่า สวัสดี “กลไก”
ผลลัพธ์ต่างกันแค่ไหน ไปพิสูจน์กันเอง
..........................................................................................................................................................
การสื่อสาร บางทีก็ไม่ใช่มุ่งแต่การไปทำสื่อ ทำคลิป ทำป้ายรณรงค์มากมาย
เบสิคพื้นฐานง่ายๆนี่ไม่ค่อยเสียตังค์ แต่ต้องอาศัยการเปิดใจและความกล้าหาญนี่แหละสำคัญสุด
เราใช้ถ้อยคำอย่างไร สุดท้ายมันก็ Outside-in กลับมาข้างใน
อันนี้แหละที่ลึกไปอีกขั้น
ไม่มีความเห็น