สุดยอดแรร์ไอเทมยุค 90's


สุดยอดแรร์ไอเทมยุค 90's

ผมค่อนข้างที่จะเบื่อหน่ายคนที่ชอบยกย่องความเป็นสุดยอดของยุค 90's เพราะผมมองว่าไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งนั้นแหละ ถ้าใครใช้ช่วงวัยเด็กถึงวัยรุ่นช่วงไหน ช่วงนั้นก็จะเป็นช่วงที่สุดยอดที่สุดของเขา

เพราะอะไรช่วงที่เป็นเด็กถึงวัยรุ่นจะเป็นช่วงที่สุดยอดที่สุด

ก็เพราะว่าเป็นช่วงที่เขา เล่น เล่น และเล่นอย่างเดียว ไม่ต้องวุ่นกับการหาเงินมาจุนเจือครอบครัวหรือจุนเจือชีวิตตัวเองแต่อย่างใด ไม่ต้องมานั่งเครียดเรื่องหาเงินจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเช่าห้อง ค่าผ่อนรถยนต์ ค่าผ่อนบ้าน ฯลฯ หรือต่อจะให้มีใครที่ทำงานพิเศษบ้างก็ไม่ได้ว่าหนักหนาอะไรนัก

แต่นั้นก็ไม่ใช่สำหรับทุกคน และก็ไม่ใช่สำหรับทุกสังคมเสมอไป

ผมใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็ก 10 ปีแรกอยู่ในยุค 80's ก็ขอบอกว่าเป็นช่วง 10 ปีที่มีความสุขที่สุดในชีวิต เพราะเป็นช่วงที่เล่น เล่น และ เล่นอย่างเดียว เราไม่มีเทคโนโลยีอะไรเลย อย่างมากที่สุดก็คือโทรทัศน์ และวิทยุที่เป็นเครื่องบันเทิงใจที่ต้องเสียบปลั๊กไฟหรือใส่ถ่านเท่านั้น ที่สุดของชีวิตก็คือการเล่นกันเพื่อน การปั่นจักรยานไปเป็นแก๊งด้วยกัน

ทำไมคนที่มีอายุมากกว่า 35 ขึ้นไปเวลาดูหนังเรื่อง It หรือดูเรื่อง แฟนฉัน แล้วถึงอินกับหนังมาก ก็เพราะชีวิตในวัยเด็กนั้นความสุดยอดคือการได้ขอพ่อขอแม่ออกไปปั่นจักรยานเล่นกับเพื่อนนั่นแหละ ซึ่งในสมัยนั้นมันไม่ใช่ออกจากบ้านได้ง่าย ๆ ที่ไหน

และเมื่อได้ปั่นจักรยานออกไปเล่นแล้วเราก็สามารถสรรหาเครื่องมือและอุปกรณ์มาเล่นได้อย่างสร้างสรรค์เช่น การเล่นดีดลูกแก้ว การปาดินน้ำมัน การปั้นดินน้ำมันเป็นรางแล้วเป่าเม็ดดินน้ำมันให้วิ่งไปตามราง การเป่ากบ การถอยตุ๊กกะตุ่น การเอาไม้ไอติมมาทำเป็นเรือปั่นด้วยแรงหนังยาง การเล่นซ่อนแอบ เตะฟุตบอล เอาฝาน้ำอัดลมมาตีให้แบน เจาะรูเอาเชือกร้อยสามารถปั่นดึงเข้าดึงออกได้ การเขี่ย รูปลอก การไปหาแมลงทับ แมลงด้วงกว่างมาใส่กล่องไม้ขีดแล้วเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียน ฯลฯ

กติกาเราก็กันตั้งเองขึ้นมา ไม่ต้องมีตำร่ำตำรามาอ้างอิง แล้วพวกเราก็เคารพกฎกติกาด้วยแบบไม่มีคำถาม อาจจะมีดื้อบ้างหรือขอโมฆะบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ผิดกฏหมาย

แล้วอย่าลืมว่าของเล่นที่เป็นสุดยอดในช่วงนั้นก็คือของแถมที่มาจาก เสื้อผ้ารองเท้าอุปกรณ์การเรียน โดยเฉพาะของเล่นที่แถมกับรองเท้านั้นนั่นคือสุดยอดแลไอเท่ม เช่น ห่วงอะไรสักอย่างเป็นวงขดยาวต่อกัน เมื่อไป 2 ข้างมาไว้บนมือจับมือมันก็สามารถเด้งขึ้นเด้งลงได้เอาไปวางไว้ตรงบันไดมันก็สามารถ

นั่นคือการแสวงหาความสุขที่ไม่จำเป็นต้องใช้การเสียบปลั๊กเลย หรือถ้าใครจะมีพวกของเล่นไขลาน หรือเกมกด หรือรถบังคับที่ยังต้องใช้สายไฟ ของเล่นเหล่านั้นสำหรับผมและเพื่อนเป็นเรื่องยากมากที่ใครจะมี เพราะมีราคาแพงมาก

ในช่วงต้น ปี 90's ก็เข้าสู่วัยรุ่น ที่ฝรั่งเรียกว่า teenage มีอายุเกิน 10 ขวบ ของเล่นที่เคยมีความสุขสนุกสนานในช่วงยุค 80 ก็หายและค่อย ๆ หลงลืมไป เราเริ่มมองของเล่นสิ่งใหม่ และส่วนใหญ่จะเป็นของเสียบปลั๊กหรือใส่ถ่านทั้งสิ้นเช่น เกม Family ที่ต้องไปนั่งเล่นในร้านเกมชั่วโมงละ 10 บาท ลองคิดดูว่า 10 บาทในสมัยนั้นมีค่ามากแค่ไหน กินก๋วยเตี๋ยว 5 บาทืน้ำอัดลม 5 บาทได้เลย แม่ หรือ พ่อ เมื่อรู้ว่าเราไปเล่นเกม ก็ไม่แคล้วหลังลาย สมัยนั้นพ่อแม่ก็ไม่สปลอยล์เด็กแบบยุคนี้ เรียกได้ว่าอะไรใกล้มือโดนหมด ไม้แขวน เข็มขัด สายยาง กิ่งไม้ที่อยู่ใกล้มือ นี่ไม่รวมกับถูกครูตีที่โรงเรียนนะ เพราะว่าถ้าพ่อแม่รู้ว่าถูกคนดีก็จะถูกตีซ้ำอีก

ในช่วงยุคนี้ผมขอแม่เรียนพิมพ์ดีด ใช่ครับเรียนพิมพ์ดีด ยุคนั้น คอมพิวเตอร์เป็นเรื่องที่ไกลตัวราวกับโลกและดวงจันทร์ โรงเรียนพิมพ์ดีดมีอยู่ที่ทั่วมุมเมือง ผมขอแม่เรียนพิมพ์ดีดตั้งแต่ประถมปลาย ช่วง 2 สัปดาห์แรกก็ไปเรียนดีหรอก วางมือ ฟ ห ก ด "เอก" า ส ว สบายมาก แต่พอเข้าสัปดาห์ที่ 3 ก็เริ่มหนีเรียนไปเข้าร้านเกม มีวันหนึ่งตกใจมาก ไม่รู้ว่าแม่มีญาณพิเศษอะไร เดินมาเห็นผมที่ร้านเกมจำได้ถูกตีในร้านเลย อายมาก เจ็บมาก แต่ด้วยความเป็นเด็กไม่กี่วันเราก็ลืม แล้วก็หาโอกาสไปเล่นมาอยู่นั่นแหละ จำได้ว่า 1 ชั่วโมงของการเล่นเกม Family มันคือความสุขที่สุดเลย

นอกจากเกม Family แล้วก็เริ่มมีเกมกดที่ใส่ถ่าน ในชั้นเรียนของเราถ้ามีใครเอาไปโรงเรียนสักหนึ่งคน รับรองว่าตอนเที่ยงจะเจอมหกรรมการต่อแถวเพื่อเล่นเกม ไอ้คนที่เล่นเก่งก็เล่นเก่งไม่ตายสักที คนที่ไม่เล่นเก่งก็อยากเล่นบ้าง ต้องเข้าแถวรอนานมาก แต่พอเมื่อตัวเองได้เล่น เล่นไปไม่ถึง 2-3 นาทีก็ต้องตาย แล้วต้องกลับไปต่อแถวใหม่ มีไม่กี่ครั้งหรอกที่จะได้รอบ 2 เพราะไม่นานเสียงสัญญาณเข้าเรียนในช่วงบ่ายก็ดังแล้ว

ระหว่างต่อแถวเล่น พวกเราก็หลงลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีความสุขกับการเล่นทอยเส้น ปาดินน้ำมัน หรืออะไรก็ตามที่มันเล่นพร้อมกันได้หลายคน เราทำเพียงได้ยืนดูคนเดียวเล่นเท่านั้น

ราวกับว่าความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราสามารถสร้างสรรค์จากของง่าย ๆ ด้วยตัวเองนั้นมันหายไป

ราวกับว่าความสุขของเรานั้นจะต้องเสียบปลั๊กหรือใส่ถ่านทุกครั้ง

พอในช่วงครึ่งหลังของยุค 90's อายุก็เข้า 13 - 15 พวกเราไม่เล่นเป่าน้ำมันอีกต่อไปแล้ว พวกเราไม่ปั่นจักรยานเป็นแก๊งไปไหนมาไหนอีกแล้ว เลิกจับแมลงทับจับแมลงด้วงกว่างอีกต่อไปแล้ว พวกเราเริ่มเข้าสังคมแบบเพื่อนฝูง ติดเพื่อนมากกว่าติดที่บ้าน ไปโรงเรียนเพื่อไปเล่นกับเพื่อน ไม่ได้ไปเรียน

เราเริ่มมองเพื่อนต่างเพศไม่ใช่แค่เพื่อน การโดนมือหรือตัวเพื่อนต่างเพศความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันเหมือนกับมีไฟฟ้าสถิตคอยช็อตเราตลอดเวลา มันเหมือนกับมีความร้อนอะไรในตัวบางอย่างทำให้เรารู้สึกหน้าแดง เวลาเรียนพละหรืออะไรก็ตามที่ต้องจับคู่ต่างเพศ หากเราจับคู่กับคนที่หน้าตาดีเราก็จะมีความสุข หากเราคู่กับคนที่หน้าตาไม่ดีหรือรูปร่างไม่ดี เราก็จะอายเพื่อน ส่วนไอ้เพื่อนก็จะล้อเรา

นับว่าเป็นช่วงยุคที่ใครหลายคนเริ่มมีความรักครั้งแรก ความรักแบบเด็ก ๆ ไอ้ที่ว่าจะมีปุ๊บมีเพศสัมพันธ์กันปั๊บในสมัยนั้นบอกเลยว่าน้อยมากมาก

จากการเล่นเพื่อเล่นนั้นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเล่นเพื่อเท่แทน

เด็กผู้ชายบางคนรวมถึงผมเริ่มหัดเล่นกีต้าร์ และในสมัยนั้นใครเล่นกีต้าร์เป็นมันโคตรเท่เลย ตอนเที่ยงเราเลิกเล่นทอยตุ๊กกะตุ่น เลิกเอาปากกาแบบกดมาดีดรถกระดาษพับอีกแล้ว เปลี่ยนมาเล่นกีต้าร์แทน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสาวเพื่อนชายก็จะเข้ามาล้อมวงร้องเพลง ถ้าเพื่อนสาวคนไหนขอเพลงแล้วเราเล่นได้นั่นโคตรเท่ แต่สมัยนั้นก็ไม่ได้เก่งกาจเหมือนสมัยนี้นะเพราะว่าต้องพกหนังสือเพลงที่มีคอร์ดกีตาร์ไปโรงเรียนด้วย หนังสือเพลงในสมัยนั้น ก็ขยันออกใหม่อยู่ทุกเดือน เราต้องอัพเดทเจียดเงินค่าขนมซื้อทุกคนั้งที่ออกเบ่มใหม่ ไม่มีก็ไม่ได้เพราะการเล่นกีต้าร์เพลงที่คนอื่นขอได้ในสมัยนั้นคือความเท่ขั้นสูง ยิ่งเพื่อนสาวคนไหนขอเพลงแล้วเล่นได้โคตรเท่ ยิ่งมีเพื่อนสาวต่างห้องมานั่งร้องเพลงด้วยยิ่งเท่สุด ๆ และขั้นสุดคือการละเล่นวงดนตรีของโรงเรียน เพราะในสมัยนั้นคือยุคเฟื่องฟูของวงการวิทยุ ยุคเฟื่องฟูของวงการเพลง สิ่งบันเทิงเริงใจที่สุดยอดที่สุดควบค๓่กับวัยรุ่นยุคนั้นก็คือการฟังเพลงนั่นเอง

ครึ่งหลัง 90's เราเริ่มรู้จักสรรหาสิ่งของสุดเท่ หรือคนสมัยใหม่หรือว่าไอเทมมาตกแต่งร่างกายของเรา ถ้าหามาได้มันก็เป็นการตอบสนองความต้องการของเราและเป็นการประกาศบอกเพื่อน ๆ ให้รู้ว่าเรามีนะเท่นะ

เอาเฉพาะกรณีผู้ชาย เสื้อก็ต้องเป็นย่อห้อดัง ลายเท่ บางคนก็ใส่เสื้อลาย Heavy Metal Rock บางคนก็เป็นลายสมัยนิยมอย่าง fido dido แต่พวกวัยรุ่นไฮโซก็เป็นแนวของแพงยี่ฮ้อไปเลย กางเกงก็ต้องเป็นกางเกงยีนส์ลีวาย 501 ริมแดงตะเข็บคู่ อันนี้คือสุดยอดที่วัยรุ่นชายยุคนั้นทุกคนต้องมีให้ได้สักครั้งในชีวิต หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นกางเกงยีนส์ขาม้านิดหน่อย เท่มาก รองเท้าสมัยนั้นถ้าเป็นรองเท้าแตะก็ต้องยี่ห้อสกอลเท่านั้น จำได้ว่ามีไม่กี่สีนักหรอก น่าจะเป็นแดง เขียว น้ำเงิน เหลือง ? ถ้าเป็นรองเท้าผ้าใบก็ต้องเป็น Converse All Star แบบ หุ้มข้อ เท่มาก

ส่วนวัยรุ่นผู้หญิงก็จะนิยมเป็นเสื้อยืดปล่อยชายสีพื้น ไม่มีหรอกจะมาใส่เสื้อเอวลอยโชว์จิวสะดือ ข้อมือจะมีที่มัดผมรัดไว้ กางเกงยีนส์ก็เป็นขากระดิ่ง สมัยนั้นถ้าผู้หญิงแต่งตัวไปเที่ยวไม่มีหรอกที่จะมานุ่งกางเกงขาสั้นจนเห็นขอบก้นหมือนทุกวันนี้

อุปกรณ์ที่ต้องมีอีก 2 อย่างก็คือซาวน์เบาท์ เป็นหูฟังแบบครอบทั้งหัวเลย หาหูฟังแบบเสียบหูแบบทุกวันนี้น้อยมาก ยี่ห้อก็ต้องเป็น Sony รุ่น Walkman ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีก็คงไม่ใช่ยี่ห้อนี้เพราะมันแพงมากจะเป็นยี่ห้ออื่นแทน แต่ถ้าใครมีรุ่นที่สามารถไม่ต้องเอาเทปมากลับหน้า แต่สามารถเล่นกลับหน้าเองแล้วได้นั้นคือสุดยอดมาก หากใครเป็นเนิดเกมก็ต้องพกเกมบอยติดตัว อันนี้สำหรับคนมีตังค์ แต่คนไม่มีตังค์อย่างผมอย่างมากก็เกมด็อกเตอร์เตอติส หรือถ้าจะเอาของเล่นแบบไอเท่มระดับสุดยอดของสุดยอดเลยก็ต้องเป็นรถแข่งทามิย่า อั้นต้องมีตังค์จริง ๆ

หรือที่สุดของที่สุดก็คงจะเป็น ทามาก๊อตจิ

ที่พูดไปทั้งหมดนั้น สุดยอดไอเท่มในยุคนั้น ยังไม่มี PackLink PhoneLink PCT หรือ Smartphone เลยนะ

ส่วนการไปเที่ยว สมัยนั้ยมีที่เที่ยวไม่มากนัก อย่างเช่นบ้านผมอยู่ปากเกร็ด ไปได้ไกลก็อย่างเช่น The Mall งามวงศ์วาน ไกลอีกนี้ก็เซ็นทรัลลาดพร้าว แต่ถ้าเป็นสุดยอดของวัยรุ่นิหากกลางวันก็จะเป็นสวนจตุจักร หากกลางคืนก็ต้องเป็นสะพานพุทธ การไปห้างก็ไปดูหนัง การไปสวนจตุจักรก็ไปเดินเล่น จะซื้อของอะไรติดไม้ติดมือก็ถือว่าน้อยมาก โดยส่วนตัวแล้วถ้าผมไปดูหนังก็จะไปคนเดียว แต่ถ้าไปจตุจักรก็ไปดูพวกแสตมป์ ใบปิดภาพยนตร์ หรือไม่ก็หนังสือเก่า ส่วนกันไปสะพานสูงมีจุดประสงค์เดียวคือไปดูหญิง

ในยุคที่เราไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต เรามีหลายสิ่งหลายอย่างให้ทำมากมาย เราได้ออกไปท่องโลกกว้าง เราได้อ่านหนังสือและเรียนรู้ความลับหลายอย่างข้างใน เราได้สัมผัสโรงภาพยนตร์ที่มีเก้าอี้เสริมแบบเก้าอี้เด็กพับได้ เราได้เรียนรู้สังคม เรียนรู้คน และคุยแบบเห็น ๆ ซึ่งต่างกับยุคสมัยปัจจุบันเพราะต่อให้เรานัดเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันมานับ 10 ปี เรามานั่งกินข้าวร้านเดียวกัน เราก็สัมพันธ์กันได้อย่างมากแค่เริ่มต้นจากการพูดคุย ถ่ายภาพ โพสต์ Social Media จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาก้มเล่นโทรศัพท์ แล้วก็ตอบแชทคุยกับเพื่อนที่อยู่ในโทรศัพท์แทนที่จะสัมพันธ์กับเพื่อนที่เราไม่ได้เจอกัน

แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้บอกว่ายุคไหนดีกว่ากัน พฤติกรรมความสัมพันธ์แบบไหนดีกว่ากัน สภาพสังคมความนิยมความรู้สึกนึกคิดของแต่ละยุคนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะยุคไหน พ.ศ. ไหน การละเล่น ไอเทม ความรู้สึก ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเช่นกัน

วาทิน ศานติ์ สันติ

6 เมษายน 2563

หมายเลขบันทึก: 676836เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2020 09:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน 2020 09:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท