รับน้องมหาวิทยาลัย



“แป้งครับ ที่คณะของลูกมีประชุมเชียร์มั้ย” ผมคุยกับลูกในวันที่เธอเปิดเรียน เปิดชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยในวันแรกของชีวิต

“สุขสันต์วันเปิดเรียนวันแรก โชคดีมีชัยนะลูก” ผมส่งข้อความไปทางโทรศัพท์หาลูกสาวคนโตในเช้าวันอังคาร 

“ไม่มีนะพ่อ ที่นี่ไม่มีระบบโซตัส” เธอตอบมาเสียงใส
“ดีจังเลยลูก” ผมก็เสียงใสตอบกลับไปเช่นกัน

“เอ๊ะ แล้วไม่ต้องร้องเพลงคณะ เพลงเชียร์กันบ้างเลยเหรอ” เริ่มสงสัย
“ก็ร้องกันตอนปฐมนิเทศน์แล้วไง” เออ..ใช่ ลูกเคยเล่าให้ฟัง

ผมถามลูกถึงเรื่องนี้ก็คิดถึงตัวเอง เวลามันย้อนไปไกลมาก แต่เชื่อไหม เรื่องบางเรื่องมันเหมือนกับเพิ่งผ่านไปเมื่อวานเอง

เมื่อปี ๒๕๓๓ ผมมาเป็นน้องใหม่ในรั้วคณะแพทย์ที่สงขลานครินทร์ ความชุลมุนในการย้ายเข้าหอพักของมหาวิทยาลัย การจากบ้านมาไกลเป็นครั้งแรก การเจอเพื่อนใหม่ การต้องปรับตัวเรื่องการเรียนมากมาย และการรับน้องใหม่ มันคือจุดเปลี่ยนของชีวิตอย่างแท้จริง

เริ่มวันแรกของการเรียน ก็จะต้องมีประชุมเชียร์
ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์เวลาหกโมงเย็น พวกผมต้องเดินมาที่อาคารบริหารคณะแพทย์ ยืนเข้าแถว ตัวตรง ห้ามยุกยิก ยืนฟังพี่ๆชั้นคลินิกก่นด่าว่ากล่าว เค้าบอกว่าเป็นการฝึกความอดทน 

อดทนอะไรวะ
อดทนต่อการยืนนานๆ 
“เดี๋ยวขึ้นคลินิกช่วยผ่าตัดก็ต้องยืนนานๆ ยืนกันทั้งวัน” พี่ๆบอกอย่างนั้น แต่ตอนนั้นพี่ๆก็คงไม่รู้หรอก ว่าในห้องผ่าตัดน่ะ เราขยับแข้งขาได้ตามสบาย

อดทนต่อความคัน ห้ามยุกยิก ห้ามเกา ยุงกัดก็ห้ามขยับ ผมนี่โคตรสงสารพวกผู้หญิงเลย ยุงมันบินไปกัดไม่เลือกหรอกครับ มุดกระโปรงเข้าไปก็มี และพี่ๆก็คงไม่รู้หรอกว่า เมื่อผมโตขึ้น ผมได้เป็นหมอผ่าตัด เวลาผมคัน ผมก็ขอให้พี่เปรม พยาบาลอาวุโสประจำห้องช่วยเกาให้ สบายจะตาย ไม่เห็นต้องไปทนมันเลยกับความคันบ้าๆนั่น

ห้ามคุย
แล้วจะห้ามไปทำไม ในเมื่อขณะผ่าตัด พวกเราฟังเพลง ฮัมเพลงได้อย่างสบายใจ ฟังเพลงไปผ่าตัดไปได้ทั้งวัน

เอาเป็นว่า พี่ๆล้วนคิดไปเองทั้งนั้น

สาระของการประชุมเชียร์คือการมายืน มานั่งนิ่งๆในห้องประชุม พี่ประธานเชียร์ในปีผมคือพี่วิลลี่ ผู้ชายร่างท้วม ผิวคล้ำและผมหยิก พี่แกดูโมเดิร์นมาก สามารถพูดภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสได้คล่องแคล่ว แกโคตรเท่ห์

เมื่อประธานเชียร์มายืนหน้าห้อง พี่ๆคนอื่นๆก็จะเดินตามเข้ามาแล้วไปอยู่ข้างๆประธานบ้าง อยู่กระจายตามข้างห้องบ้าง ทุกคนจะถูกกำหนดตำแหน่งยืนไว้เรียบร้อย ห้ามยิ้ม ห้ามหัวเราะ จากนั้นก็เปิดเครื่องฉายแผ่นใสที่มีเนื้อเพลง 

แล้วพี่ก็ร้องเพลงให้ฟังรอบหนึ่ง
“ร้องตามได้ไหม” ประธานเชียร์ถาม แต่ไม่มีใครตอบ
“ร้องให้ฟังอีกรอบ” ประธานเชียร์สั่ง
“คราวนี้ พวกเธอต้องร้องให้ได้” นี่ก็คือคำสั่ง

นรกมาก 

เพราะเพลงที่พี่ร้องให้ฟัง มันคือเพลงที่เพิ่งได้ยินครั้งแรก ทั้งเนื้อร้องและทำนองก็เพิ่งได้ยินมาเมื่อกี๊ แถมเสียงร้องเพลงของพี่ๆ .... ปุดโธ่ มันฟังได้เสียทึ่ไหน แล้วแบบนี้ใครมันจะไปร้องได้วะ

เป็นไงล่ะ คราวนี้ก็ถูกรุมด่าเละ หาว่าไม่ได้เรื่องบ้างล่ะ ไม่พยายามบ้างล่ะ

เวลาหนึ่งเดือนในห้องเชียร์ทุกเย็นมันผ่านไปเร็วมาก พวกผมร้องเพลงได้ พวกผมรู้จักเพื่อนๆกันได้เร็วมาก พวกผมได้จับเข่าคุยกัน ปรับทุกข์กันเรื่องประชุมเชียร์ได้แทบทุกคืน พี่ๆบอกว่า นี่แหละคือจุดประสงค์ที่แท้จริง 
และในคืนสุดท้ายนี่เองที่พี่ๆพาเดินออกจากห้องเชียร์เพื่อไปกราบพระรูปพระราชบิดา นำเน็คไทสีเขียวขี้ม้า ซึ่งเป็นสีประจำคณะแพทย์มาผูกให้พวกเรา จากนั้นก็นำพาเดินไปยังอาคารนันทนาการ มีพี่ๆจุดเทียนรอต้อนรับพวกเรา ร้องเพลง “น้องหมอ” คลอกันเบาๆ 

ถึงตรงนี้ น้ำตาไหล มันพีคมาก

มีพิธีบายศรีสู่ขวัญ ผูกข้อมือ อาจารย์แพทย์หลายคนมาผูกข้อมือให้ ด้ายดิบเส้นเขื่องนั้น ผมใส่ติดข้อมือนานเป็นเดือน ใส่จนมันเน่าคามือไปเลย

แล้วผมก็เข้าใจมาตลอด ว่ามันคือพิธีที่ดี กิจกรรมแบบนี้เราต้องสานต่อ มันทำให้น้องรักกัน เป็นกลุ่มเป็นก้อนกันอย่างรวดเร็ว

แล้วเราก็ยังคงมีประชุมเชียร์กันต่อไป
ผมยังจำได้ ว่าจะมีอาจารย์บางท่านออกมาต่อต้าน บอกว่ากิจกรรมนี้มันไม่ดี มันคือการกดขี่และข่มเหงน้ำใจ แต่ใจผมในตอนนั้นมันฮึกเหิม ผมถูกกระทำมา น้องๆก็ควรรับการถูกกระทำต่อไป นัยว่า มันคือการฝึกความอดทน (อีกแล้ว) การสร้างความรักความสามัคคีในรุ่น (ได้ด้วยเหรอ ได้สิ ผมยังคงเข้าข้างตัวเอง) ในช่วงปี ๒ ผมไม่ได้เป็นพี่สตาฟเชียร์เพราะเรียนหนัก แต่ในชั้นปี ๓ ผมขอเข้าร่วมด้วย เพียงแต่จะไม่อาสาเป็นพี่ว๊าก เพราะทำไม่เป็น 

แต่ละค่ำคืน ผมจะคอยช่วยร้องเพลงและยืนแถวหลังสุด 

ที่ต้องเป็นเช่นนี้ เพราะผมไม่ชอบด่าคน ผมไม่ชอบการตวาด และที่สำคัญ ผมเส้นตื้น

มีอยู่ครั้งหนึ่ง อยากลองไปยืนด้านหน้าดูบ้าง 
จบกัน ผมทนไม่ไหว 
หน้าน้องๆดูหมองเศร้า บางคนอยากยิ้มก็ยิ้มไม่ได้ บางคนอมยิ้มจนแก้มตุ่ย บางคนกวนตีน มันจะจ้องหน้าผมเพียงเพื่ออยากให้ผมหลุด มีบางครั้งที่ประธานเชียร์ยกมือเพื่อสั่งหยุดร้องเพลงกระทันหัน น้องผู้หญิงที่นั่งหน้าสุดเธอคงกำลังเพลิน ครั้นเห็นพี่ยกมือจึงคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกตบ จึงตกใจสุดตัวแล้วหลบหัวไปอีกทางพร้อมยกมือขึ้นมาป้องไว้

แล้วแบบนี้ ผมจะยืนเสนอหน้าอยู่ได้อย่างไร ค่ำวันนั้น ผมจึงเดินออกจากห้องเชียร์ช้าๆ แล้วหายตัวไปเลย ไปหัวเราะอยู่ในส้วมคนเดียว แทบตาย

จากวันนั้น แถวหลังสุดคือที่ยืนประจำ

แต่หลังห้องก็ไม่ใช่ที่ปลอดภัยเสมอไปหรอก เชื่อผม ผมเรียนมา
............................

ผมรักตัวเองเสมอ 

รักที่ตัวเองไม่เคยตะคอกใส่ใคร จะโกรธแค่ไหน หากจะต้องขึ้นเสียงขึ้นมาเสียแล้ว ก็จะรีบหยุดและเอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์แย่ๆอันนั้น หรือหากจะโกรธมากๆ ผมก็จะไม่พูดด้วยเลย เรียกได้ว่าสุภาพมากๆ (เหรอ) 

ตลอดการประชุมเชียร์ ผมไม่เคยตะคอกใส่น้อง ไม่เคยตะโกนออกเสียงด่าน้อง มันทำไม่เป็น พ่อแม่สอนมาอย่างดี (หึหึ)

ดังนั้น ในวันหนึ่งขณะที่ตรวจคนไข้ในคลินิกนรีเวชฉี่เล็ดในช่วงบ่าย ผมถามคนไข้และลูกสาว ว่าสงสัยอะไรอีกไหม ก่อนที่จะปิดจ๊อบการตรวจ แล้วลูกสาวคนไข้ตอบว่า
“ไม่กล้าถามหรอก หมอเล่นตะคอกตลอดเวลาเลย” มันจึงทำให้ผมตกใจมาก

“จริงเหรอ หมอตะคอกเธอตอนไหน” ผมถามเธอซ้ำ เผื่อว่าตัวเองจะหูฝาด
“ก็ตลอดเวลาแหละ หมอตะโกนใส่หนูกับแม่ตลอดเลย” 

“ออ..ตกใจหมด ผมขอโทษ ผมแค่พูดเสียงดัง คนไข้ก่อนหน้าแม่เธอแกหูตึง ผมต้องตะโกน แล้วแม่ของเธอเองก็หูตึง ถามปกติแกก็ไม่ได้ยิน เลยต้องตะโกนเหมือนกัน หมอไม่ได้ตะคอก ขอโทษจริงๆ” เฮ้ย..ผมเสียใจจริงๆนะ

“นานๆจะได้เจอหมอพูดจาดีๆเข้าใจง่าย ไม่มีอะไรถามหรอกค่าาา” เสียงคุณยายแกพึมพำขณะลงจากเตียงเพื่อเปลี่ยนผ้า นั่นยังหมายถึงไอ้ที่ผมกับลูกสาวคุยต่อว่ากันอยู่นั้น แกก็ไม่ได้ยินเช่นกัน แกหูตึง

“อ๋อค่ะ แม่หนูหูตึง หนูก็ลืม” 

เอ๊า.....

.........................

ผมยังจำค่ำคืนวันนั้นได้ มันเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้นี่เอง

ระหว่างความกดดันในห้องเชียร์ ทุกสายตาล้วนจับจ้องและหยั่งเชิง น้องปีหนึ่งนั่งหลังตรงไม่พิงพนัก ความเงียบสงัดที่แม้เสียงยุงสักตัวจะบินอยู่ในห้องเรายังได้ยินมันดังหึ่งๆ หากใครสักคนจะสังเกตเห็น พี่สตาฟที่ยืนแถวหลังเริ่มมีการขยับตัว หันมองหน้ากันไปมา

ไอ้แป๊ะมันกำลังกัดริมฝีปากและหน้าแดงก่ำ พี่กานต์ยืนข้างๆก็มีกิริยาคล้ายคลึงกัน 
“น้องแป๊ะ” พี่กานต์กระเถิบมากระซิบข้างหู
“แป๊ะได้กลิ่นตดมั้ย” พี่กานต์ยังคงไม่เลิก

ผมกัดริมฝีปากแน่น กลั้นหัวเราะไว้สุดชีวิต ผมจะหลุดเสียงออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย กลิ่นมันมาจากน้องที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเราแน่ๆ และมันต้องเป็นของคนที่อยู่ใกล้แอร์ มันเป่าลมผ่านมายังทางผมและพี่กานต์ เหม็นยิ่งกว่าคนท้องผูกมา ๓ วัน มันตดได้เนียนมาก เชี่ยเอ๊ย

ว่าแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนราบไปบนพื้นเพื่อหลบให้พ้นสายตาจากพี่ๆสตาฟคนอื่น พวกเขาจะเห็นผมหัวเราะไม่ได้ ผมส่งเสียงไม่ได้ ผมจึงกัดเนื้อที่ข้อมือตัวเองไว้อย่างแรง

แทบตาย

ธนพันธ์ ชูบุญคืนนั้นผมไม่ได้ตดนะ
๒๔ สค ๖๒



หมายเลขบันทึก: 673137เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 16:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท