น้องนน เด็กหลงในห้องผ่าตัด


“นน” ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ในห้องที่นอนอยู่นี้มันไม่คุ้นตาเอาเสียเลย

บนผนังห้องด้านบนมีโคมไฟแปลกตา ผนังด้านข้างก็เป็นกระเบื้องเหลี่ยมๆสีเขียวอ่อนรอบห้อง มีเครื่องมืออะไรแปลกๆอยู่ที่หัวเตียงที่นนนอนอยู่ มันหนาว มันน่ากลัว 

“แม่” นนนึกขึ้นได้ ว่าคนที่เขาจะต้องเจอทุกครั้งเมื่อตื่นนอนคือแม่ นนจึงเรียกแม่

ไม่มีใครอยู่ในห้อง ไม่มีแม่ แล้วแม่อยู่ที่ไหน

เด็กผู้ชายอายุราว ๑๐ ปี แต่ด้วยร่างกายที่เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิดทำให้เขาดูตัวเล็กกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกันค่อนข้างมาก

นนเริ่มร้องไห้ เมื่อลุกขึ้นและลงจากเตียงได้แล้ว นนก็วิ่งออกทางประตูบานนั้น

“แม่” นนยังคงตะโกนสุดเสียงออกมาด้วยความกลัวจับหัวใจ แม่อยู่ที่ไหน ทำไมแม่ไม่อยู่ใกล้ๆนน 

เมื่อเปิดประตูได้ นนก็วิ่งออกมาทางขวามือ 

เฉลียงห้องเมื่อพ้นประตูมาแล้วก็ยังคงดูแปลกตา มันคือทางเดินคล้ายโถงยาวถูกขนาบด้วยประตูอีกหลายบาน 

นนเริ่มวิ่งแล้วหยุดเปิดประตูบานแรกที่อยู่ใกล้ที่สุด มันไม่มีคนอยู่ ในห้องมืดสลัวดูคล้ายกับห้องที่นนเพิ่งออกมาเมื่อครู่ เด็กชายยังคงเปิดประตูดูทีละบาน ซึ่งมันก็ไม่มีใครอยู่สักคน

นนวิ่งไปจนสุดทางเดิน ซึ่งมีทางแยกให้เลี้ยวขวาอีกทาง 

นนเห็นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดยาวสีเขียว เธอสวมหมวกที่ดูเหมือนหมวกอาบน้ำ

“น้าๆ แม่ของนนอยู่ไหน” นนถามผู้หญิงคนนั้น แต่แปลกที่เธอกลับไม่มีท่าทีสนใจเขาเลย เธอคงไม่เห็นนนด้วยซ้ำ

น้ำตาเริ่มอาบสองแก้ม นี่เขากำลังจะถูกแม่ทิ้งไปจริงๆแล้วกระนั้นหรือ แล้วที่นี่คือที่ไหน

นนยังคงกึ่งวิ่งกึ่งเดินเพื่อหาทางออกจากห้องแปลกๆแห่งนี้อยู่ต่อไป มันมีประตูมากมายเหลือเกิน แต่มันไม่ใช่ทางออกสักห้องหนึ่งเลย

เค้ามองเห็นพี่ผู้หญิงอีกคนเดินออกมาจากห้องอีกห้องหนึ่ง เธอแต่งกายคล้ายๆกับคนเมื่อครู่ 

“น้าครับ นนอยากกลับบ้าน น้าพานนออกไปจากห้องนี้หน่อย” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมคำร้องของมันน่ารันทดสะท้อนใจต่อผู้พบเห็นยิ่งนัก

“น้า” คนที่นนเรียกมองเห็นนน เธอมีสีหน้าตกใจ

“ตายแล้ว นี่เด็กที่ไหนมาวิ่งอยู่ในห้องผ่าตัดกัน” เธอตะโกนขึ้นมา เอามือทาบอก และพลันที่ตั้งสติได้ เธอก็หันมาหาเจ้าเด็กผู้ชายที่ชื่อนนเมื่อกี๊ เพื่อที่จะถามที่มาที่ไป เพราะในห้องผ่าตัดแห่งนี้ มันคือเขตพื้นที่สะอาด ไม่ควรจะมีเด็กมาวิ่งร้องไห้หาแม่อยู่ หรือนี่จะเป็นลูกของคนงานในห้องผ่าตัด

แต่เธอไม่เห็น “นน” เด็กผู้ชายผอมแกร็นคนที่เรียกเธออีกเลย 

“หายไปไหน” เธอพึมพัม พลันขนลุกซู่

นนยังคงรู้สึกเหมือนใจสลาย สุดทางเดินที่วิ่งมาด้านนี้ มันมีทางแยกเล็กๆ และมีคนอยู่ตรงนั้น นนจึงวิ่งเข้าไปหาด้วยจิตใจร้อนรน เค้าหิวข้าว เค้าคิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ คิดถึงบ้าน คิดถึงน้อง และที่สำคัญ ตอนนี้เค้าน่าจะกำลังหลงทางอยู่

“น้าครับ นนจะกลับบ้าน พานนออกไปจากห้องตรงนี้หน่อย นนกลัวครับ” นนบอกพี่ผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเค้าก็เห็นนนด้วย แต่เค้าดูมีท่าทางหวาดกลัว

...................

“นนครับ” แม่จะรอนนอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดนะลูก เมื่อพี่เค้าเข็นพาลูกออกมา แม่จะรออยู่ตรงนี้ นนจะเห็นแม่เป็นคนแรกเลยนะครับ” นั่นคือสุ้มเสียงที่อ่อนโยนของคนเป็นแม่กำลังปลอบลูกชายอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด เธอลูบผมลูบแก้มของลูกชายคนโตที่ป่วยหนักด้วยโรคหัวใจชนิดหนึ่ง

“แม่” ที่ภายนอกดูเข้มแข็ง แต่ในใจมันแหลกสลาย 

นนป่วยด้วยโรคหัวใจมาตั้งแต่กำเนิด รูรั่วที่ผนังหัวใจมันทำให้การส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายเป็นไปด้วยความยากลำบาก นนจะมีอาการเหนื่อยหอบทุกครั้งที่เริ่มออกวิ่ง จนพักหลังๆ เพียงแค่การเดินเหินไปมามันก็ยังทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อยเสียจนตัวโยน

“เราต้องผ่าตัดปิดรอยรั่วของหัวใจนั้นครับ” ด้วยเทคโนโลยีการรักษาในสมัยนั้น เราทำได้เพียงเท่านี้ อาจารย์หมอเจ้าของไข้ของนนได้บอกให้แม่และนนได้รับทราบ

“นนกลัวนะแม่ นนกลัวเจ็บ” เด็กชายเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว 

แม้ว่าการเข้าออกและนอนโรงพยาบาลบ่อยๆจะเป็นเรื่องปกติของนน และในบางครั้งต้องถูกแทงสายต่างๆมากมายเข้าตามแขน ขา บางทีก็ที่ต้นคอ แต่นั่นมันก็ไม่ได้น่ากลัวไปกว่าเมื่อคุณหมอที่ดูแลกันมาตลอดบอกนนและแม่ว่า “คงถึงเวลาที่จะต้องรับการผ่าตัดแล้ว”

“แม่เข้าใจนะลูก แต่คุณหมอบอกว่า หลังผ่าตัด นนจะแข็งแรงขึ้น ไปวิ่งเล่นได้ และได้ไปเที่ยวทะเลกับพ่อ แม่และน้องไง เราจะไปเที่ยวด้วยกันนะลูก” นั่นเป็นเหมือนคำสัญญาที่ผูกติดไว้กับนน

ในเช้าวันนั้น การผ่าตัดที่ดูเหมือนปกติ แต่มันไม่ปกติ 

การเต้นผิดจังหวะของหัวใจและไม่ยอมตอบสนองต่อยาใดๆ ทำให้หัวใจของนนไม่ยอมกลับมาเต้นได้อีกเลย

การช่วยชีวิตด้วยวิธีต่างๆ การนวดหัวใจ การช๊อตด้วยไฟฟ้า ไม่ทำให้หัวใจและชีวิตของนนกลับคืนมา

ร่างไร้ชีวิตของนนถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดในช่วงบ่ายแก่ๆของวันนั้น

................

เหล่าบรรดาพยาบาลที่อยู่เวรต่างเริ่มมาพูดคุยกัน ว่าเด็กผู้ชายที่วิ่งไปมาอย่างสับสนอยู่ในห้องผ่าตัดเมื่อตอนช่วงต้นเวรบ่ายนั้นคือใคร

บ้างก็เห็น บ้างก็บอกว่าไม่ได้พบเจอ

“น้องนน เด็กที่ผ่าตัดหัวใจเมื่อเช้า พี่จำได้” พี่พยาบาลอาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา และเมื่อถึงตอนนี้ทุกคนถึงกับเงียบกริบ

บางคนแสดงสีหน้าตื่นกลัว ในขณะที่บางคนกลับเริ่มมีน้ำตาซึมด้วยความสงสาร

“โถลูก นี่คงยังไม่รู้สินะ” พยาบาลคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาพร้อมซับน้ำตาตัวเอง

ห้องผ่าตัดในค่ำคืนนั้นไม่มีร่องรอยของการปรากฏตัวของนนอีกเลย การทำงานของคนอยู่เวรดูราบรื่น แต่พยาบาลที่อยู่เวรล้วนนอนไม่หลับ สำหรับบางคนคงต้องบอกว่า “นอนไม่ลง” ด้วยเพราะพวกเธอคือคนที่กำลังสวมหัวอกของคนมีลูกในวัยใกล้เคียงกัน

ท่านเจ้าคุณแห่งพระอารามหลวงได้ถูกนิมนต์มาในช่วงเช้าของอีกวัน

“เด็กผู้ชายค่ะ เป็นเด็กผู้ชายที่เสียชีวิตเพราะการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจของเช้าเมื่อวาน” พยาบาลผู้เป็นหัวหน้าได้บอกท่านเจ้าคุณ

“เค้ากำลังหลงทางน่ะโยม เด็กยังไม่ทราบว่าตัวเองเสียชีวิตไปแล้ว เค้ายังอยู่ในนี้ ออกไปไหนไม่ได้หรอก” ท่านปรารภออกมา

“เดี๋ยวอาตมาจะจัดการให้เองนะ” แล้วท่านก็รับการถวายเพลจากเหล่าผู้ปฏิบัติงานในห้องผ่าตัดราว ๓-๔ คน เพราะคนอื่นๆต้องปฏิบัติหน้าที่ของตน เนื่องจากวันนี้มันคือวันทำงาน

น้ำพระพุทธมนต์ที่ถูกสาดพรมออกมาจากท่านเจ้าคุณสร้างความร่มเย็นในจิตใจ มันช่วยจรรโลงให้คนทำงานที่ใกล้ชิดกับการสูญเสียได้คลายความกังวลและเศร้าโศก 

ไม่มีใครทราบว่าน้องนนจะได้รับรู้ถึงความปรารถนาดีจากพวกพี่ๆน้าๆ ป้าๆพยาบาลเหล่านั้นหรือไม่

แต่หากใครสักคนจะมีสายตาที่ไม่เหมือนคนอื่น ในบ่ายวันนั้น เค้าคงจะเห็นเด็กชายอายุราว ๑๐ ปีที่ตัวผอมแกร็น เดินตามท่านเจ้าคุณออกไปจากห้องผ่าตัด เค้าดูหน้าตาสดชื่นแม้นจะมีคราบน้ำตาติดอยู่ที่สองแก้มนั้น

....................

“คืนนี้พ่อไม่ออกไปวิ่งเหรอ” เมียผมถามขณะที่เสิร์ฟปลาทูแขกแดดเดียวที่เธอเพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆมาให้กินหลังจากที่ผมหิวซ่กกลับมาจากคลินิก

ข้าวสวยร้อนๆ ถูกนำมาตั้งไว้ข้างกันในถ้วยพร้อมตะเกียบ

“พ่อจะกินแบบญี่ปุ่น” แล้วผมก็ไปฝานหัวไชเท้ามาบางๆ ปริมาณหนึ่ง 

ใจจริงก็อยากฝนให้ละเอียดให้มันเป็นแบบญี่ปุ่น แต่มันไม่มีอุปกรณ์ไง “งั้นก็หั่นๆเอาละกัน” ผมปลอบใจตัวเอง

“ไม่วิ่งล่ะแม่ วันนี้เหนื่อยจัง”

เหนื่อยอะไรวะ วันนี้ไม่มีผ่าตัด คนไข้ที่ร้านก็มี ๓ คน 

เอ่อ...

อันที่จริง เมื่อคิดถึงน้องนน ผมก็ไม่มีแรงที่จะออกไปวิ่งอีกเลย

ผมกลัว

เวรจริงจริ๊ง...กลัวขึ้นมาเองกระทั่งจากเรื่องที่แต่งขึ้นมาเนี่ยนะ 

ถู่เรศศศศ.....

ว่าแต่..ถามจริงๆเถอะ “นี่คือเรื่องแต่งเหรอ”

ธนพันธ์ ชูบุญหมดแรงวิ่งกลางคืน

๒๔ เมย ๖๒

หมายเลขบันทึก: 673106เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 14:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2019 14:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท