คนแต้จิ๋ว ชาวจีนโพ้นทะเล (ตอนที่ 8)


  เจ๊กเหงี่ยม​ คนจีนโพ้นทะเลที่ตั้งใจไปสิงคโปร์​

เรื่องเล่าจาก​ คุณอรรถพร​ พันธุ์งาม(เจ้หนู)​

---------------------------

พ่อกับแม่เป็นคนจีนแคะ​  ที่มาจากตอนใต้ของประเทศจีน​  มีอาชีพทำนา​ ทำไร่และสวน  บ้านที่อาศัยอยู่สร้างด้วยดิน​ (บ้านดิน)  พื้นดินแห้งแล้งมาก​   หน้าหนาวก็หนาวจัด​ ภัยธรรมชาติรุนแรง  ขยันอย่างไรก็ไม่พอกิน​ ปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล​​ อดๆอยากๆ  ตั้งใจจะย้ายถิ่น​ ไปทำมาหากินกับพี่ที่อยู่สิงคโปร์​  แต่เรือมาจอดให้ลงที่เกาะสีชัง​  ชลบุรี​

เมื่อขึ้นจากเรือก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ไม่มีเอกสารระบุว่ามาเมืองไทย

หลังจากขึ้นจากเรือ​ ได้มีนายทหารเรือคนหนึ่งคอยติดตามตลอด​ พ่อเรียกนายทหารคนนี้ว่าเจ้านาย

พ่อรับจ้างทำงานในสวนของนายจ้างคนหนึ่งที่ชลบุรี​​ เพียงเพื่อขอแลกอาหารกินและที่พักอาศัยเท่านั้น​  ไม่มีเงินเดือนให้

แม่คลอดลูกคนแรกเป็นชาย​ แม่ดีใจมากที่ได้ลูกชาย​ แต่แม่ต้องทำงานหนักไม่มีเวลาเลี้ยงลูก​  และเกรงว่านายจ้างจะ​ตำหนิที่ทำงานได้ไม่เต็มที่​  จำใจต้องยกลูกชายให้ผู้อื่น​ไป​ 

พ่ออยากย้ายที่ทำกิน​   แต่ไม่กล้าไปอยู่ที่ไหน​  ด้วยเกรงว่าจะถูกตำรวจจับ​

ทั้งสองยังอยู่กับนายจ้างที่ชลบุรีโดยไม่มีเงินเดือน​  จนมีลูกอีก 2 คน​คือเจ้หนู​ (ผู้ให้ข้อมูล)​ และจำลองน้องชาย​  อายุต่างกัน​ 3 ปี​  คราวนี้แม่ต้องกัดฟันเลี้ยงดูเอง​

พ่อกับแม่มีความกลัวในใจตลอดว่าจะถูกจับเพราะเป็นคนจีนที่ลักลอบเข้ามา​  ต้องหลีกเลี่ยง​การสื่อสารด้วยภาษาจีน​และ พยายามจะเรียนรู้ภาษาไทย​  ตั้งชื่อลูกเป็นภาษาไทย​ ให้ลูกเรียกตัวเองว่า  พ่อ​ กับ​  แม่​  ลูกๆจึงพูดและฟังภาษาจีนไม่ได้

พ่อพาครอบครัวออกจากชลบุรี​ นั่งรถไฟไปโดยไม่มีจุดหมาย​แน่นอน​  มาลงที่กาญจนบุรี​  ตอนนั้นกาญจนบุรี​ยังเต็มไปด้วยป่า​ พื้นที่​อุดมสมบูรณ์​  ตั้งใจว่าจะถางป่าเพาะปลูกตามอาชีพเดิมที่เคยทำมาที่เมืองจีน​ ​และที่สำคัญคือไม่ถูกรบกวน​ ไม่ต้องระวังตัวมากนัก

พ่อสร้างบ้านเองจากไม้ป่าที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์​   บ้านจะต้องแข็งแรงพอที่จะป้องกันการรุกรานของสัตว์ป่า​ ​หาอาหารกินจากพืชและสัตว์ที่มีอยู่​รอบข้าง​   เวลาออกไปหาอาหารจะเอาลูกทั้งสองคนใส่กระบุงหน้าหลังหาบไปด้วยกัน​  พ่อใช้มีดถางหญ้า ให้เป็น​ทางเดินแคบๆ​ คอยระวังไม่ให้สายกระบุงเกี่ยวพันกิ่งไม้  แม่คอยระวังกระบุงหลัง​ 

อาหารก็ได้จากสิ่งรอบข้างที่มีอยู่​  พ่อดูออกว่าอะไรเป็นอาหารที่กินได้​ อะไรเป็นพิษ​  บ่อยครั้งที่พ่อจะเอาตัวบุ้ง​ ลักษณะ​เป็นขนๆ​ ชักใยเหมือนแมงมุม​ปิดปากหลุมที่ซ่อนตัวอยู่​  มาปิ้งย่างให้กิน​  รสชาติอร่อยออกมันๆ

แม่คลอดน้องสาวอีกคนที่นี่​  แต่น้องป่วยและเสียชีวิตด้วยอาการไข้และท้องเสีย

พ่อเริ่มลังเลที่จะอยู่ต่อ​  กลัวเรื่องอาหารเป็นพิษ​  กลัวไข้ป่ามาลาเรีย​  กลัวเสือที่คำราม​อยู่ใกล้ๆ​  หลังจากฝังน้องเสร็จ​ พ่อตัดสินใจย้ายออก​

พ่อนั่งรถไฟมาอีก​ คราวนี้มาลงที่แก่งคอยโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย​เหมือนเดิม​ มาขอพักที่หลังบ้านแป๊ะฮกมุ้ย​ เป็นร้านขายของ  หลังบ้านมีเล้าหมู​  อยู่ใกล้ท่าน้ำหลังศาลเจ้าพ่อกกกระเชา​  หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า​ ท่าตาหลำ

ท่าตาหลำ​ เป็นท่าน้ำสำหรับเรือชาวบ้าน​  ที่เข้ามาตลาดแก่งคอยซื้อสินค้าและนำสินค้าพืชไร่ที่ปลูกไว้มาขายที่ตลาด​ เรือจะจอดกันที่ท่าน้ำนี้

พ่อปลูกเพิงเล็กๆข้างเล้าหมู​ โดยใช้แผ่นสังกะสี​เก่าๆที่พอหาได้​มาทำเป็นบ้าน​ ด้านหน้าเปิดโล่ง​ ใช้ผ้าขาวม้าสองผืนผูกเป็นอู่(เปล)​กับเสาสองต้นให้ลูกนอนในเปลเพราะเนื้อที่บ้านจำกัด​   กลิ่นเหม็นจากเล้าหมู่อบอวลมาก

เช้าตื่นขึ้นมาพ่อช่วยแป๊ะฮกมุ้ยเปิดร้าน​  ประตูบ้านสมัยนั้นเป็นแผ่นไม้ถอดใส่ที่ละแผ่น​  ให้อาหารหมู​ ทำความสะอาดเล้าหมู​ เสร็จ​งานก็ออกรับจ้างขนสินค้าที่ท่าน้ำ​

พ่อกับแม่ช่วยกันรับจ้างทำงานทุกอย่าง​ รับหาบน้ำจากท่าน้ำมาให้ร้านค้าในตลาด​ ไม้คานของพ่อเป็นไม้กลมแข็งและหนักมาก  หาบครั้งละ​ 4 ปีบ​  หน้าสอง​ 2 หลัง​ 2  รับจ้างขนสินค้าจากเรือมาส่งที่ร้านค้าในตลาดและขนสินค้าจากตลาดมาส่งที่เรือ​  

พ่อยังรับจ้างตักส้วมด้วย​ ส้วมสมัยนั้นขุดเป็นหลุม​  เมื่อเต็มแล้วจะใช้วิธีจ้างคนมาตักออก​  ใส่ปีบหาบไปทิ้ง​ ต้องทำตอนกลางคืนเพื่อไม่เป็นที่รบกวนชาวบ้าน​

หลังจากนั้นหนื่งปี​  มีเงินเก็บพอจะเช่าที่ปลูกบ้านได้​ ก็ย้ายมาปลูกบ้านเองฝั่งตรงข้าม​กัน โดยใช้ไม้ไผ่​เป็นผนังบ้าน หลังคามุงจาก​   ที่นี่อากาศดีขึ้น​ ไม่มีกลิ่นเหม็นจากเล้าหมู​ แม่คลอดน้องสาวอีก​2คนที่นี่คือ​น้อยกับนวล​  มีน้องตุ๊กตาอยู่ในครรภ์​อีกคน

ความขยันและอดทน​  จำได้ว่าแม้ขณะกำลังทานข้าวอยู่​  ถ้ามีคนมาเรียกไปทำงาน​ พ่อจะหยุดกินทันทีและรีบไปทำงานก่อน

พ่อเก็บเงินพอที่จะปลูกบ้าน​ไม้ 2 ชั้นได้​  ​ เปิดร้านขายกาแฟและขายของชำ​ ตรงปากทางลงท่าน้ำโดยเช่าที่เขา

บริเวณนั้นจะใกล้ป่าช้าวัดแก่งคอย​ ไม่่ค่อยมีคนกล้ามาอยู่​ แต่พ่อไม่กลัว​ ขอให้มีบ้านอยู่ได้ก็พอ​   เจ้หนูในวัยเด็กต้องเลี้ยงน้องทุกคนแทนแม่​ ไม่มีโอกาสเล่นกับใคร  ได้แต่ดูเขาเล่นกัน​ แม่จะตีถ้ารู้ว่าทิ้งน้อง​

สมัยนั้นยังไม่มีเมรุเผา​ศพเหมือนปัจจุบัน​ เป็นเพียงเสาสูงๆ​ 4  เสา​ มุงหลังคาสังกะสี​ข้างบน  เวลาเผาศพจะเผากันกลางแจ้ง​  เห็นกันสดๆ​ ตั้งแต่เริ่มเผา​ จนศพที่นอนเผาอยู่ดีดตัวขึ้นมานั่ง​ กลัวมากทุกครั้งที่เห็น

พ่อเริ่มมีเงินที่จะซื้อสินค้าจากชาวบ้านที่มากับเรือ​  พ​ริก​ มะขามเปียก​  พริกไทย​  ปลาย่าง​ ไข่เน่า​ หน่อไม้ และอื่นๆ​ มาขายเองที่ร้าน​ บางส่วนส่งขายต่อที่ตลาด 

พ่อเริ่มรับชื้อข้าว​ ข้าวโพด​ ละหุ่ง​ถั่วเขียวสินค้าพืชไร่และของป่าอื่นๆ​  ขยายบ้านเป็นโกดังไว้เก็บสินค้า​ บางส่วนส่งขายในตลาด​ บางส่วนจะมีพ่อค้าจากกรุงเทพฯมาซื้อที่บ้าน

พ่อเริ่มออกซื้อสินค้าขึ้นเหนือไปตามลำน้ำป่าสัก ไปครั้งละหลายวัน​ แม่ทำงานทุกอย่างแทนพ่อ​ เจ้หนูทำงานบ้านทุกอย่างแทนแม่

นายทหารเรือคนเดิมที่พ่อเรียกว่าเจ้านายยังติดต่อพ่อตลอด​ พ่อเชื่อทุกอย่างที่ท่านแนะนำ มาพักอยู่ครั้งละหลายวัน​  พ่อบริการให้ทุกอย่างที่อยากได้​  ท่านรักและเอ็นดูเจ้หนูมาก​เพราะเห็นความสามารถที่ทำทุกอย่างเกินวัยเด็กที่ทำได้

ท่านบอกพ่อให้ส่งเจ้หนูเข้าเรียนหนังสือ​ พ่อก็ทำตาม​  แต่แม่ต้องการให้เจ้หนูอยู่บ้านเลี้ยงน้องมากกว่า

เจ้หนูได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดแก่งคอยใกล้บ้าน​ เมื่ออายุได้​ 10 ขวบ พร้อมจำลองน้องชาย​ เจ้หนูเรียนเก่งมากและได้เป็นหัวหน้าชั้น​  สมัยนั้นครูที่สอนหนังสือประจำชั้นไหนก็สอนชั้นนั้นตลอดทุกวิชา​ ถ้าวันไหนครูป่วยหรือติดธุระ​ ครูจะมอบหมายให้เจ้หนูดูแลนักเรียนในห้องและบางครั้งก็สอนแทนครู

เมื่อฐานะดีขึ้น​ แม่เริ่มคิดถึงลูกชายคนโตที่ให้เขาไป​ แม่อยากเห็น​หน้า อยากได้ข่าว​ แต่ไม่รู้จะไปตามที่ไหน

ท่าน้ำตาหลำถูกลืมชื่อไป​ กลายเป็น​ท่าน้ำเจ็กเหงี่ยมเข้ามาแทน

ข้อมูลจากผู้บันทึก​(สุนีย์)  ​

เจ้หนูมาเรียนด้วยกันตอนโต​  อายุมากกว่าเพื่อน​ เพื่อนๆจะเรียกชื่อหนูบ้าง​ เจ้หนูบ้าง​  พี่หนูบ้าง​ เจ้หนูเป็นคนเรียนเก่ง​มาก​ โดยเฉพาะวิชาคำนวน​ ทำอะไรก็เก่งทุกเรื่อง​ ไหวพริบดีมาก​  อาจเป็นเพราะผ่านความยากลำบากมามาก​  เรียนรู้การคำนวนตัวเลขได้ก่อนเข้าเรียน 

แม้แต่ขณะกำลังเรียน  แม่จะมาตามที่ห้องเรียน​  ให้กลับบ้านไปช่วยคิดเงิน (ถ้าพ่อไม่อยู่​)​​  ครูสมัยนั้นก็ใจดี​มาก อนุญาต​ให้ไป​ได้  เมื่อช่วยทางบ้านเสร็จก็กลับมาเรียนหนังสือต่อ​   บ่อยครั้งจะมาโรงเรียน​สาย  เลิกเรียนก็ต้องรีบกลับบ้าน

แต่เรื่องส่งการบ้าน​ เจ้หนูไม่เคยลืมทำ และเป็นคนรักการเรียนมาก

เจ้หนูจึงเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมีฐานะดีคนหนึ่งในสังคม

สุนีย์​   สุวรรณตระกูล​ ผู้บันทึก

อรรถพร​  พันธ์ุงาม​(เจ๊หนู) ผู้ให้ข้อมูล

หมายเลขบันทึก: 670129เขียนเมื่อ 5 ตุลาคม 2019 09:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม 2019 09:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ชอบอ่านค่ะเสียดายที่บทความไม่กล่าวถึงช่วงเวลาอพยพเข้ามาพอรู้คร่าว ๆว่าช่วงที่อยู่เมืองไทยมีสงครามโลกครั้งที่สอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท