เจ๊กเหงี่ยม คนจีนโพ้นทะเลที่ตั้งใจไปสิงคโปร์
เรื่องเล่าจาก คุณอรรถพร พันธุ์งาม(เจ้หนู)
---------------------------
พ่อกับแม่เป็นคนจีนแคะ ที่มาจากตอนใต้ของประเทศจีน มีอาชีพทำนา ทำไร่และสวน บ้านที่อาศัยอยู่สร้างด้วยดิน (บ้านดิน) พื้นดินแห้งแล้งมาก หน้าหนาวก็หนาวจัด ภัยธรรมชาติรุนแรง ขยันอย่างไรก็ไม่พอกิน ปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล อดๆอยากๆ ตั้งใจจะย้ายถิ่น ไปทำมาหากินกับพี่ที่อยู่สิงคโปร์ แต่เรือมาจอดให้ลงที่เกาะสีชัง ชลบุรี
เมื่อขึ้นจากเรือก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ไม่มีเอกสารระบุว่ามาเมืองไทย
หลังจากขึ้นจากเรือ ได้มีนายทหารเรือคนหนึ่งคอยติดตามตลอด พ่อเรียกนายทหารคนนี้ว่าเจ้านาย
พ่อรับจ้างทำงานในสวนของนายจ้างคนหนึ่งที่ชลบุรี เพียงเพื่อขอแลกอาหารกินและที่พักอาศัยเท่านั้น ไม่มีเงินเดือนให้
แม่คลอดลูกคนแรกเป็นชาย แม่ดีใจมากที่ได้ลูกชาย แต่แม่ต้องทำงานหนักไม่มีเวลาเลี้ยงลูก และเกรงว่านายจ้างจะตำหนิที่ทำงานได้ไม่เต็มที่ จำใจต้องยกลูกชายให้ผู้อื่นไป
พ่ออยากย้ายที่ทำกิน แต่ไม่กล้าไปอยู่ที่ไหน ด้วยเกรงว่าจะถูกตำรวจจับ
ทั้งสองยังอยู่กับนายจ้างที่ชลบุรีโดยไม่มีเงินเดือน จนมีลูกอีก 2 คนคือเจ้หนู (ผู้ให้ข้อมูล) และจำลองน้องชาย อายุต่างกัน 3 ปี คราวนี้แม่ต้องกัดฟันเลี้ยงดูเอง
พ่อกับแม่มีความกลัวในใจตลอดว่าจะถูกจับเพราะเป็นคนจีนที่ลักลอบเข้ามา ต้องหลีกเลี่ยงการสื่อสารด้วยภาษาจีนและ พยายามจะเรียนรู้ภาษาไทย ตั้งชื่อลูกเป็นภาษาไทย ให้ลูกเรียกตัวเองว่า พ่อ กับ แม่ ลูกๆจึงพูดและฟังภาษาจีนไม่ได้
พ่อพาครอบครัวออกจากชลบุรี นั่งรถไฟไปโดยไม่มีจุดหมายแน่นอน มาลงที่กาญจนบุรี ตอนนั้นกาญจนบุรียังเต็มไปด้วยป่า พื้นที่อุดมสมบูรณ์ ตั้งใจว่าจะถางป่าเพาะปลูกตามอาชีพเดิมที่เคยทำมาที่เมืองจีน และที่สำคัญคือไม่ถูกรบกวน ไม่ต้องระวังตัวมากนัก
พ่อสร้างบ้านเองจากไม้ป่าที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ บ้านจะต้องแข็งแรงพอที่จะป้องกันการรุกรานของสัตว์ป่า หาอาหารกินจากพืชและสัตว์ที่มีอยู่รอบข้าง เวลาออกไปหาอาหารจะเอาลูกทั้งสองคนใส่กระบุงหน้าหลังหาบไปด้วยกัน พ่อใช้มีดถางหญ้า ให้เป็นทางเดินแคบๆ คอยระวังไม่ให้สายกระบุงเกี่ยวพันกิ่งไม้ แม่คอยระวังกระบุงหลัง
อาหารก็ได้จากสิ่งรอบข้างที่มีอยู่ พ่อดูออกว่าอะไรเป็นอาหารที่กินได้ อะไรเป็นพิษ บ่อยครั้งที่พ่อจะเอาตัวบุ้ง ลักษณะเป็นขนๆ ชักใยเหมือนแมงมุมปิดปากหลุมที่ซ่อนตัวอยู่ มาปิ้งย่างให้กิน รสชาติอร่อยออกมันๆ
แม่คลอดน้องสาวอีกคนที่นี่ แต่น้องป่วยและเสียชีวิตด้วยอาการไข้และท้องเสีย
พ่อเริ่มลังเลที่จะอยู่ต่อ กลัวเรื่องอาหารเป็นพิษ กลัวไข้ป่ามาลาเรีย กลัวเสือที่คำรามอยู่ใกล้ๆ หลังจากฝังน้องเสร็จ พ่อตัดสินใจย้ายออก
พ่อนั่งรถไฟมาอีก คราวนี้มาลงที่แก่งคอยโดยไม่มีจุดมุ่งหมายเหมือนเดิม มาขอพักที่หลังบ้านแป๊ะฮกมุ้ย เป็นร้านขายของ หลังบ้านมีเล้าหมู อยู่ใกล้ท่าน้ำหลังศาลเจ้าพ่อกกกระเชา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่าตาหลำ
ท่าตาหลำ เป็นท่าน้ำสำหรับเรือชาวบ้าน ที่เข้ามาตลาดแก่งคอยซื้อสินค้าและนำสินค้าพืชไร่ที่ปลูกไว้มาขายที่ตลาด เรือจะจอดกันที่ท่าน้ำนี้
พ่อปลูกเพิงเล็กๆข้างเล้าหมู โดยใช้แผ่นสังกะสีเก่าๆที่พอหาได้มาทำเป็นบ้าน ด้านหน้าเปิดโล่ง ใช้ผ้าขาวม้าสองผืนผูกเป็นอู่(เปล)กับเสาสองต้นให้ลูกนอนในเปลเพราะเนื้อที่บ้านจำกัด กลิ่นเหม็นจากเล้าหมู่อบอวลมาก
เช้าตื่นขึ้นมาพ่อช่วยแป๊ะฮกมุ้ยเปิดร้าน ประตูบ้านสมัยนั้นเป็นแผ่นไม้ถอดใส่ที่ละแผ่น ให้อาหารหมู ทำความสะอาดเล้าหมู เสร็จงานก็ออกรับจ้างขนสินค้าที่ท่าน้ำ
พ่อกับแม่ช่วยกันรับจ้างทำงานทุกอย่าง รับหาบน้ำจากท่าน้ำมาให้ร้านค้าในตลาด ไม้คานของพ่อเป็นไม้กลมแข็งและหนักมาก หาบครั้งละ 4 ปีบ หน้าสอง 2 หลัง 2 รับจ้างขนสินค้าจากเรือมาส่งที่ร้านค้าในตลาดและขนสินค้าจากตลาดมาส่งที่เรือ
พ่อยังรับจ้างตักส้วมด้วย ส้วมสมัยนั้นขุดเป็นหลุม เมื่อเต็มแล้วจะใช้วิธีจ้างคนมาตักออก ใส่ปีบหาบไปทิ้ง ต้องทำตอนกลางคืนเพื่อไม่เป็นที่รบกวนชาวบ้าน
หลังจากนั้นหนื่งปี มีเงินเก็บพอจะเช่าที่ปลูกบ้านได้ ก็ย้ายมาปลูกบ้านเองฝั่งตรงข้ามกัน โดยใช้ไม้ไผ่เป็นผนังบ้าน หลังคามุงจาก ที่นี่อากาศดีขึ้น ไม่มีกลิ่นเหม็นจากเล้าหมู แม่คลอดน้องสาวอีก2คนที่นี่คือน้อยกับนวล มีน้องตุ๊กตาอยู่ในครรภ์อีกคน
ความขยันและอดทน จำได้ว่าแม้ขณะกำลังทานข้าวอยู่ ถ้ามีคนมาเรียกไปทำงาน พ่อจะหยุดกินทันทีและรีบไปทำงานก่อน
พ่อเก็บเงินพอที่จะปลูกบ้านไม้ 2 ชั้นได้ เปิดร้านขายกาแฟและขายของชำ ตรงปากทางลงท่าน้ำโดยเช่าที่เขา
บริเวณนั้นจะใกล้ป่าช้าวัดแก่งคอย ไม่่ค่อยมีคนกล้ามาอยู่ แต่พ่อไม่กลัว ขอให้มีบ้านอยู่ได้ก็พอ เจ้หนูในวัยเด็กต้องเลี้ยงน้องทุกคนแทนแม่ ไม่มีโอกาสเล่นกับใคร ได้แต่ดูเขาเล่นกัน แม่จะตีถ้ารู้ว่าทิ้งน้อง
สมัยนั้นยังไม่มีเมรุเผาศพเหมือนปัจจุบัน เป็นเพียงเสาสูงๆ 4 เสา มุงหลังคาสังกะสีข้างบน เวลาเผาศพจะเผากันกลางแจ้ง เห็นกันสดๆ ตั้งแต่เริ่มเผา จนศพที่นอนเผาอยู่ดีดตัวขึ้นมานั่ง กลัวมากทุกครั้งที่เห็น
พ่อเริ่มมีเงินที่จะซื้อสินค้าจากชาวบ้านที่มากับเรือ พริก มะขามเปียก พริกไทย ปลาย่าง ไข่เน่า หน่อไม้ และอื่นๆ มาขายเองที่ร้าน บางส่วนส่งขายต่อที่ตลาด
พ่อเริ่มรับชื้อข้าว ข้าวโพด ละหุ่งถั่วเขียวสินค้าพืชไร่และของป่าอื่นๆ ขยายบ้านเป็นโกดังไว้เก็บสินค้า บางส่วนส่งขายในตลาด บางส่วนจะมีพ่อค้าจากกรุงเทพฯมาซื้อที่บ้าน
พ่อเริ่มออกซื้อสินค้าขึ้นเหนือไปตามลำน้ำป่าสัก ไปครั้งละหลายวัน แม่ทำงานทุกอย่างแทนพ่อ เจ้หนูทำงานบ้านทุกอย่างแทนแม่
นายทหารเรือคนเดิมที่พ่อเรียกว่าเจ้านายยังติดต่อพ่อตลอด พ่อเชื่อทุกอย่างที่ท่านแนะนำ มาพักอยู่ครั้งละหลายวัน พ่อบริการให้ทุกอย่างที่อยากได้ ท่านรักและเอ็นดูเจ้หนูมากเพราะเห็นความสามารถที่ทำทุกอย่างเกินวัยเด็กที่ทำได้
ท่านบอกพ่อให้ส่งเจ้หนูเข้าเรียนหนังสือ พ่อก็ทำตาม แต่แม่ต้องการให้เจ้หนูอยู่บ้านเลี้ยงน้องมากกว่า
เจ้หนูได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดแก่งคอยใกล้บ้าน เมื่ออายุได้ 10 ขวบ พร้อมจำลองน้องชาย เจ้หนูเรียนเก่งมากและได้เป็นหัวหน้าชั้น สมัยนั้นครูที่สอนหนังสือประจำชั้นไหนก็สอนชั้นนั้นตลอดทุกวิชา ถ้าวันไหนครูป่วยหรือติดธุระ ครูจะมอบหมายให้เจ้หนูดูแลนักเรียนในห้องและบางครั้งก็สอนแทนครู
เมื่อฐานะดีขึ้น แม่เริ่มคิดถึงลูกชายคนโตที่ให้เขาไป แม่อยากเห็นหน้า อยากได้ข่าว แต่ไม่รู้จะไปตามที่ไหน
ท่าน้ำตาหลำถูกลืมชื่อไป กลายเป็นท่าน้ำเจ็กเหงี่ยมเข้ามาแทน
ข้อมูลจากผู้บันทึก(สุนีย์)
เจ้หนูมาเรียนด้วยกันตอนโต อายุมากกว่าเพื่อน เพื่อนๆจะเรียกชื่อหนูบ้าง เจ้หนูบ้าง พี่หนูบ้าง เจ้หนูเป็นคนเรียนเก่งมาก โดยเฉพาะวิชาคำนวน ทำอะไรก็เก่งทุกเรื่อง ไหวพริบดีมาก อาจเป็นเพราะผ่านความยากลำบากมามาก เรียนรู้การคำนวนตัวเลขได้ก่อนเข้าเรียน
แม้แต่ขณะกำลังเรียน แม่จะมาตามที่ห้องเรียน ให้กลับบ้านไปช่วยคิดเงิน (ถ้าพ่อไม่อยู่) ครูสมัยนั้นก็ใจดีมาก อนุญาตให้ไปได้ เมื่อช่วยทางบ้านเสร็จก็กลับมาเรียนหนังสือต่อ บ่อยครั้งจะมาโรงเรียนสาย เลิกเรียนก็ต้องรีบกลับบ้าน
แต่เรื่องส่งการบ้าน เจ้หนูไม่เคยลืมทำ และเป็นคนรักการเรียนมาก
เจ้หนูจึงเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมีฐานะดีคนหนึ่งในสังคม
สุนีย์ สุวรรณตระกูล ผู้บันทึก
อรรถพร พันธ์ุงาม(เจ๊หนู) ผู้ให้ข้อมูล
ชอบอ่านค่ะเสียดายที่บทความไม่กล่าวถึงช่วงเวลาอพยพเข้ามาพอรู้คร่าว ๆว่าช่วงที่อยู่เมืองไทยมีสงครามโลกครั้งที่สอง