"เรื่องเล่าจากพ่อเราเอง"
พ่อ (เตี่ย) เล่าให้ฟังว่าชีวิตที่เมืองจีนลำบากมาก ต้องเก็บผักปลาเท่าที่หาได้ตามท้องทุ่งมาประกอบอาหาร อากง (ปู่)ต้องออกจากบ้านไปตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ ตั้งใจจะมาหากินที่เมืองไทยเพื่อส่งเงินไปเลี้ยงครอบครัว ตามกระแสนิยมในเวลานั้น หลังจากออกจากบ้านมาแล้วก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับจากอากงเลย ทราบจากคนในหมู่บ้านที่กลับจากเวียดนามว่า อากงเสียชีวิตแล้วที่เวียตนาม
พ่อเป็นลูกชายคนโตที่จะต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวแทน พ่อมาเมืองไทยตอนอายุ 12 ปี ( ข้อมูลจากหนังสือต่างด้าว) มาทำงานอยู่บ้านคนแซ่เดียวกัน (แซ่เบ๊) เป็นร้านขายของชำที่บ้านหม้อ กรุงเทพฯ ชื่อร้าน
เบ๊ฮั่วกี่ กินนอนอยู่ที่ร้าน รายได้ทุกบาททุกสตางค์ส่งกลับไปให้แม่(ของเตี่ย) เพื่อเลี้ยงน้องที่เมืองจีน พ่อบอกว่าเห็นคนใส่นาฬิกาสวยๆ เสื้อผ้าสวยๆก็อยากได้มาก แต่ซื้อไม่ได้ แม้เเต่ก๋วยเตี๋ยวสักชามก็ยังไม่กล้าซื้อกิน
พ่อมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านอีกครั้งเพื่อแต่งงานกับเเม่(ของผู้บันทึก) ตามที่ผู้ใหญ่จัดการไว้
ตอนนั้นยังทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ร้านเดิม หลังแต่งงานไม่นานก็เดินทางกลับเมืองไทยคนเดียว ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นบุกประเทศจีน เรือโดยสารที่เดินทางกลับไทยนั้นถูกญี่ปุ่นยึดไว้ แล้วนำผู้โดยสารทั้งหมดมาปล่อยไว้บนเกาะไหหลำ คนไหหลำก็ดีมาก หุงหาอาหารให้กิน ให้ที่พักอาศัย หลังจากนั้นก็ต้องเดินเท้ากลับมาที่บ้านเกิดอีกครั้ง ใช้เวลาเดินแรมเดือนกว่าจะกลับถึงบ้าน ทางบ้านดีใจมากคิดว่าคงเสียชีวิตไปแล้ว ต้องรอจนสงครามสงบค่อยเดินทางกลับเมืองไทยอีกครั้ง
เมื่อพ่อเริ่มตั้งตัวได้ มีธุรกิจเป็นของตนเองก็รับย่ามาอยู่เมืองไทยด้วย ตอนนั้นย่าเดินทางมาทางเครื่องบินแล้ว
น้องชายพ่อออกมาตั้งรกรากอยู่ที่ฮ่องกง เมื่อมีฐานะดีขึ้น ได้เดินทางไปเวียดนามเพื่อหาข้อมูลการเสียชีวิตของปู่และหวังที่จะเอากระดูกปู่มาฝังรวมกัยย่าที่เมืองไทยแต่ก็ไร้ผลเพราะคนที่จะให้ข้อมูลได้ก็เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว
พ่อจะบอกลูกๆตลอดเวลาว่าพวกเราไม่เคยเจอความจน ความอดยาก ไม่รู้หรอกว่าลำบากขนาดไหน
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่พ่อเล่าให้ฟัง
==============================
ข้อมูลจากเฮียคีเถ่า (ประกรณ์ บุญกุระกนก) เจ้าของร้าน ป.โอชา) เล่าให้ฟัง
แป๊ะไช้ (พ่อของเฮียคีเถ้า ร้าน ป โอชา)เดินทางมากับภรรยาและเพื่อนบ้านอีกคู่ แอบโดยสารมาโดยให้สินบนเจ้าหน้าที่เรือต้องหลบซ่อนอยู่ใต้ท้องเรือ ทีมีแต่ความมืด ไม่เห็นแสงตะวัน ไม่มีห้องน้ำ ไม่สามารถติดต่อพูดคุยกับใครได้ และต้องช่วยดูแลใต้ท้องเรือมิให้มีน้ำไหลเข้าและคอยวิดน้ำออก หาอาหารทานเอง อดๆอยากๆอยู่ใต้ท้องเรือ พอขึ้นจากเรือแสงสว่างจ้าจากดวงอาทิตย์ มีปัญหาต่อตาที่ไม่สามารถปรับรับแสงได้ มองอะไรก็ไม่เห็น ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานพอสมควร
เรือจอดลงที่อัมพวา สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาอาหารมื้อแรกและที่พักอาศัยให้ได้ก่อนโดยรับจ้างทำงานอยู่แถวท่าเรือ อาศัยเรือเป็นที่พักพิง จนปรับตัวได้ค่อยคิดหาทางขยับขยายต่อไป
คนจีนอยู่ที่อัมพวาเยอะมาก ส่วนใหญ่จะทำงานแถวท่าเรือ รับจ้างทั่วไป (จับกัง) ทำประมงหาปลา ขยับขยายจนมีร้านค้าเป็นของตัวเอง สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งในหมู่คนจีนคือการเกื้อกูลช่วยเหลือแนะนำกัน
แป๊ะไช้ได้รับการแนะนำให้มาทำงานที่ท่าน้ำแก่งคอย มีงานขนสินค้าจากท่าน้ำมายังตลาด มีงานเยอะ เลยตัดสินใจมาทำงานที่แก่งคอย และได้ปักหลักอยู่ที่นี้ตลอด
ภรรยาท่านรับหน้าที่เป็นหมอตำแยทำคลอดให้คนจีนในตลาด สมัยน้ันจะใช้ไม้ไผ่เหลาให้แหลมบาง แทนการใช้ใบมีดและไม่่เป็นสนิมด้วย ใช้ตัดรกเด็กแล้วนำมาใส่หม้อดิน เอาไปฝังดินไว้
เมื่อแก่งคอยมีสถานผดุงครรภ์ที่ถูกหลักอนามัย ทางอนามัยได้มอบกล่องชุดเครื่องมืออุปกรณ์ทำคลอดสแตนเลสให้ท่าน 1 ชุดเพื่อใช้งาน
แป๊ะไช้ไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองจีนแต่ลูกหลานท่านได้เดินทางไปแทนตามเส้นทางที่แป๊ะเล่าให้ลูกฟัง
สุนีย์ สุวรรณตระกูล บันทึกข้อมูล
คุณสุนันทา ธนูศิริ และ
คุณปกรณ์ บุญกุระกนก (เฮียคีเถ่า)
ผู้ให้ข้อมูล
ิ
ไม่มีความเห็น