ถ้าย้อนกลับไปในวัยเด็ก ความฝันตอนนั้นตอนที่เราเป็นเด็กมันมหัศจรรย์มาก เพราะว่าเราเป็นเด็ก เราไม่คิดมากกับเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องเงิน เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ เราแค่อยากเป็นอะไรสักอย่างที่เราสนใจและทำให้เรามีความสุข ฉันมีความฝันหลายอย่างที่อยากทำ
ตั้งแต่เด็กฉันเป็นคนที่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับศิลปะมาก ได้เป็นทั้งตัวแทนฉีกตัดปะ ตัวแทนแข่งคัดลายมือ ตัวแทนแข่งขันวาดภาพระบายสี ตัวแทนแข่งขันร้องเพลง ตัวแทนแข่งขันกีฬา เรียกว่าเป็นนักล่ารางวัล ฉันไม่เคยเรียนวาดภาพ ไม่เคยเรียนร้องเพลง ทุกอย่างเกิดจากการทำเวลาว่างเมื่ออยู่ที่บ้านกับพ่อแม่ ดังนั้นความฝันที่อยากสานต่อจากวัยเด็กคือ
1. อยากนำขิมมาบำบัดคนไข้ในอนาคต : ตอน ป.1 พ่อกับแม่ของฉันมีเพื่อนเป็นคุณครูสอนดนตรีไทย ทำให้พวกท่านได้พาฉันไปเรียนขิม ขิมเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก ต้องใจเย็น และฉันเป็นคนที่เล่นขิมแต่ไม่จำโน้ตเป็นตัวหนังสือ แต่จำเป็นทำนอง เป็นเสียง เวลาเรียน ก็จำแค่ว่าเสียงนี้อยู่ตรงไหน แล้วเพลงนี้มีทำนองเป้นยังไง เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆจะแปะโน้ตติดขิมไปด้วย ตอนนั้นหลายครั้งเรามีอารมหงุดหงิดมากว่าทำไมต้องเป็นขิม ความสนุกในวัยเด็กหายไปเพราะเราต้องมาเรียน แต่ยิ่งโตขึ้นมันเหมือนพัฒนาสมาธิของเรามากขึ้น รู้สึกว่าเราเรียนได้ดี มีสมาธิมากขึ้น เราได้ออกไปแสดงตามตลาดนัดเพื่อหาเงินให้นมลูกช้างที่ศูนย์อนุรักษ์ช้าง จ.ลำปาง ไปแสดงที่บ้านพักคนชราแต่เมื่อถึงตอนอายุ 12 ตอนนั้นต้องสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนมัธยม ซึ่งทำให้เราละเลยการเล่นขิมไปมาก เพราะเราเครียดกับเรื่องสอบเข้า บางครั้งพ่อแม่อยากให้เราเล่นขิมให้ฟังบ้างเพราะว่าคุณตาคุณยายชอบมาก แต่เหมือนเราโตขึ้นเราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้มาเล่นตอนที่เราจะสอบเข้า แต่สุดท้ายเราก็ยอมซ้อมขิม และมีโอกาสได้ไปแข่งจนได้เหรียญทองในการแข่งขันศิลปหัตถกรรมระดับภาคเหนือ และฉันก็บอกกับตัวเองว่าจะเป็นปีสุดท้ายที่จะเล่นขิม พอถึงวันประกาศผลสอบ ฉันสอบติดห้อง Gifted math ทำให้เราเรียนหนักขึ้น แต่พ่อแม่ยังอยากให้เราสานต่อขิมของเราต่อ เลยไปติดต่อครูดนตรีไทยของโรงเรียน ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจมากๆ เพราะว่าฉันต้องการจะเรียนไม่ใช่อยากเป็นนักดนตรี ฉันร้องไห้ และบอกพ่อแม่และคุณครูว่าจะไม่เล่นขิมเด็ดขาด กลายเป็นเรื่องทะเลาะกับพ่อแม่ที่ใหญ่มากในชีวิต แต่ว่าเราก็เรียนหนักมากจนทำให้พ่อแม่เข้าใจเรามากขึ้น แต่พอเราโตขึ้น เจอสังคมมากขึ้น เริ่มวางแผนชีวิต เริ่มมีความจริงจังกับการใช้ชีวิต ทำให้เรามองกลับมามองย้อนกลับไปในอดีต ว่าทำไมตอนนั้นเราถึงไม่เล่นขิมต่อ เพราะว่าขิมมันโดดเด่นมาก เป็นเสน่ห์ประจำตัว และเวลาเห็นน้องๆที่โรงเรียนได้ไปแสดงดนตรีไทยที่ต่างประเทศ เราก็นึกเสียดาย แต่เสียงเพลง เสียงขิม มันยังดังอยู่ในหัว ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถกลับมาเล่นมันได้อีกครั้ง และครั้งสุดท้ายที่ทำให้ฉันมีความรักในดนตรีไทยมากขึ้นคือ คุณครูที่สอนขิมฉันมาตั้งแต่ ท่านป่วยเป็นมะเร็ง ตอนนั้นท่านไม่ไหวมากๆ พ่อแม่เลยพาฉันไปหาและฉันได้เล่นขิมอีกครั้งให้ท่านฟัง คุณครูพูดคำหนึ่งว่า ครูเชื่อว่านี้คือพรสวรรค์ของเรา ครูเชื่อว่าเสียงขิมไม่เคยหายไปจากหัวเราเลย เพราะฉะนั้นจงนำประโยชน์ของขิมมาสร้างประโยชน์กับเราในอนาคตด้วยนะ ดังนั้นตอนนี้ฉันมีความฝันในด้านอาชีพที่มั่นคงแล้วคือการได้เป็นนักกิจกรรมบำบัด และ ฉันมีความคิดที่อยากจะนำขิมมาบำบัดคนไข้ในอนาคต เพราะมันช่วยเรื่องสมาธิได้มาก ฝึกความจำ และเสียงของขิมช่วยให้เราผ่อนคลาย
2. ฉันอยากร้องเพลงให้คนไข้ฟัง : ฉันเป็นคนที่ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก จำความไม่ได้ว่ามันเริ่มต้นจากไหนแต่จำได้อีกทีคือฉันก็ชอบร้องเพลงไปแล้ว ชอบร้องเพลงมาตลอด เวลาอยู่ที่บ้านมักจะจัดคอนเสิร์ตในห้องน้ำบ่อยมากๆ แต่ว่าฉันไม่มีความกล้าที่จะออกไปร้องเพลงให้คนอื่นฟัง ตอนเด็กประมาณ ป.2 แม่เคยพาไปเรียนร้องเพลง เรียนได้ 2 อาทิตย์อัดเพลงได้ 1 เพลงฉันก็เลิกเพราะครูแค่ให้วอร์มเสียงและปริ้นเนื้อเพลงให้ร้องตาม ฉันคิดว่ามันไม่คุ้มกับเงินที่พ่อแม่เสียเลิกบอกพ่อแม่ว่าไม่เรียนแล้ว แต่ฉันก็ร้องเพลงมาเรื่อยๆ ไม่ได้จริงจัง แต่ตอนประถมฉันเห็นรุ่นพี่ในโรงเรียนที่ร้องเพลงได้เพราะมากๆ ได้ออกไปแสดงให้ทุกคนดู เป็นตัวแทนโรงเรียน ทำให้ฉันเกิดความฝันว่าอยากเป็นนักร้องบ้าง อยากเป็นจุดสนใจ ตอนป.5 จึงได้สมัครเป็นนักร้องห้องในงานแสดงว่าเด็ก แต่พอถึงเวลากลับตื่นเต้นมากจนเป็นลม พอโตขึ้น เวลามีงานเทศกาลที่โรงเรียนมัธยมจัดขึ้น ฉันจะชอบไปสมัครประกวดร้องเพลงเป็นวงดนตรี หลายครั้งที่ร้องเพลงแล้วตื่นเต้นเสียงสั่น เสียงปริ่น ทำให้เรายิ่งไม่กล้าแสดงออก แต่ยิ่งโตขึ้นประสบการณ์เรามากขึ้น เราเริ่มมีความกล้า เราเริ่มคิดว่าไม่อยากร้องเพราะอยากเป็นที่สนใจแต่ร้องเพราะเรานั่นชอบ ตอนม.6 ก็ได้มีเพื่อนๆห้องอื่นมาชวนแข่งร้องเพลงในวันภาษาไทย ซึ่งเราต้องแกะเนื้อเองและก็ต้องแต่งเพลงเองขึ้นมาอีก 1 เพลง มันท้าทายมากแต่นั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันไม่ตื่นเต้นจนทำให้ตัวเองรู้สึกแย่กับการร้องเพลง ทำให้เราเริ่มมีความมั่นใจในการร้องเพลงอีกครั้ง เทอม2 มีการประกวดดาวในวันวิชาการ เพื่อนๆที่ลงสมัครห้องอื่นๆก็ได้มาชวนให้ฉันร้องเพลงให้แล้วพวกเขาจะเล่นกีต้าร์กับคีย์บอร์ดแสดงความสามารถตัวเอง ตอนนั้นก็มีความกังวลบ้างแต่ว่าทำออกมาได้ดีมาก มีคนร้องตาม สนุกไปกับเรา และในวันเดียวกันฉันก็ได้แสดงดนตรีแบบเป็นวงดนตรีของฉันเอง มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมาก นอกจากนี้ในวันงานพรอมวงของฉันก็ได้รับเชิญให้ไปเล่นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ที่สุดในชีวิต ทุกคนสนุกไปด้วยกัน ร้องเพลงไปด้วยกัน มันเลยทำให้ฉันคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องร้องให้ดีเท่ากับนักร้องแต่ว่าความสุขของฉันคือได้ร้องเพลงให้คนอื่ฟังแล้วเขาร้องตามได้อย่างมีความสุข เลยอยากจะนำความสามารถมาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมบำบัดในอนาคต
คุณครูตลับเพชร : คุณครูตลับเพชรเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน และฉันได้มีโอกาสได้ไปเรียนซัมเมอร์ในโครงการของคุณครู คุณครูตลับเพชรมีประสบการณ์ชีวิตที่ต่างประเทศเยอะมาก ท่านถ่ายทอดความรู้ทุกอย่างให้กับนักเรียน เป็นคนที่สอนฉันเกี่ยวกับมารยาทในสังคม ท่านจะพูดเปรียบเทียบระหว่างที่ไทยกับเมืองนอกเสมอ เพราะคนเราต้องมีการปรับตัว ท่านบอกว่าถ้าเราเป็นคนใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ คอยเรียนรู้วัฒนธรรมในประเทศต่างๆ ทุกคนจะเอ็นดูเรา เป็นที่รักใคร่ของทุกคน นอกจากนี้ยังสอนในเรื่องการตัดสินใจในอาชีพ ท่านพาไปเที่ยวยุโรปรอบกว้าง ทำให้ฉันได้เรียนรู้วิชาชีพใหม่ๆมากกว่าที่ได้เคยรู้จัก ได้สอนให้ใครผู้อื่น สอนให้เป็นผู้นำ และ ประโยคที่คุณครูตลับเพชรที่มักจำย้ำไว้เสมอคือ “ The more give the more you get ”
ไม่มีความเห็น