เรามีจิตที่มีสภาพเป็นปกติอยู่ทุกวัน...
แต่เรามักมองข้าม ไม่รู้ ตอนที่จิตปกติ.
ส่วนมากเราจะไปรู้ตอนที่จิตเกิดความเครียด เกิดความไม่พอใจ โมโห เศร้า หรือฟุ้งซ่านหนัก
.
จิตปกติเป็นเรื่องธรรมดามากๆ มากเสียจนโดนมองข้าม.
แต่กลับมีคุณค่ามหาศาล.
ถ้าเราเห็นจิตที่ปกติๆ บ่อยๆ เวลาจิตเกิดความเครียดนิดเดียวจิตจะรู้ทันที.
ไม่ว่าจะเกิดความพอใจ ไม่พอใจ โลภ ฯลฯ จิตจะเสียความปกติ จิตจะรู้ทันที
เรียกว่า เกิดปฏิภาณของจิต
.
ถ้าเห็นแบบนี้ เราจะแยกแยะออกว่า
อะไรที่เป็นสิ่งที่ถูกที่ควร ที่ไม่เบียดเบียนจิต(กุศล)
และอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร เกิดความเบียดเบียนจิต(อกุศล)
เรียกว่า มีสามัญสำนึก
แทบไม่ต้องมีใครมาบอกเลยว่า อะไรดี อะไรชั่ว
.
คนที่ไม่สนใจจิต ไปจมอยู่กับความคิดอย่างเดียว
คิดหมกมุ่นมากเข้า จิตจะงง
การคิดมากดูเหมือนมีเหตุผล แต่ไม่ใช่ การจมความคิดมาก จิตจะลืมความปกติ
ถ้ามากเข้า จะแยกแยะชั่วดีไม่ออก จนหลงกระทำชั่ว เบียดเบียนจิตตัวเอง และลามไปเบียดเบียนคนอื่นโดยไม่รู้ว่าเป็นเรื่องผิด เพราะมักจะมีเหตุผลประกอบ
สาเหตุเพราะไม่รู้จัก ไม่สนใจจิตปกติ ที่มีอยู่แล้วในทุกวัน
นี่คือ ประโยชน์มหาศาลของจิตปกติ
.
แค่ผ่อนคลาย หายใจยาว ยืดเหยียด บิดขี้เกียจ
แล้วสังเกตุจิตที่ไม่คิด ก็พบจิตที่ปกติแล้ว
.
หากเราเห็นจิตที่ปกติบ่อยเข้าๆ
เห็นเป็นประจำ เห็นจิตยามที่ปกติ และยามที่ไม่ปกติ
เราจะรู้จักทุกข์ มันคือสิ่งที่มาเบียดเบียนจิต คือ กิเลส
รู้จักเหตุของมัน (สมุทัย) ว่าทำไมกิเลสมันจึงเกิด
รู้จักนิโรธ คือสภาพที่กิเลสมันดับไป
และรู้จักว่า อ๋อ เมื่อกลับมามีจิตปกติ กิเลสก็ดับ
นั่นคือรู้จักมรรค หนทางดับทุกข์
นี่ไงครับ อริยสัจ 4 ที่เราเรียนตอนประถม
.
เราจะรู้ได้เอง โดยไม่ต้องอ่านจากตำรา
ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า ปัจจัตตัง รู้เอง เห็นเอง
เป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง ไม่ได้จำมาพูด
เป็นความมหัศจรรย์ของจิต จากความธรรมดาๆ นี่เอง
ความมหัศจรรย์จะเกิด เมื่อรู้อย่างลึกซึ้ง
.
เมื่อจิตรู้อริยสัจ 4 จะควบคุมชีวิตได้ครับ
ไม่พาตัวเองไปในทางที่ผิด มีแต่พาตัวเองไปในทางที่เจริญ
ทั้งทางโลก อายุ วรรณะ(ผิวพรรณ) สุขขะ(ความสุข) พละ (สุภาพ) และในทางธรรม(จิตบริสุทธิ์) ควบคู่กันไป
ไม่มีความเห็น