(บันทึก)... ย้อน.. เวลา.. มิติหนึ่งในธรรมชาติ.. ปีคศ 2000


ป่าปลูกที่ถูกบันทึกไว้
หมายเลขบันทึก: 657114เขียนเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2018 15:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2018 15:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

มิติ..หนึ่ง ในภาพ ..อดีตที่เห็น..เป็นกาล เวลา….(ผู้เขียน ..ไม่เคย นึกฝัน ว่า..จะมีป่า..ที่ปลูก ไว้ ดูเล่น..อย่างที่เห็นในภาพ…เหตุ..ผลก็คือ..ไม่เคยคิดว่า..มีเวลา….เพราะเวลา ที่มีเหลือ จากการ กิน นอน ถ่าย..และความรัก ที่ตกเป็นผลึก..เหมือน เกลือเค็มเกินกลายเป็น จุนสี….(๕ ๕)…ได้ถูก ขายเป็น..กระดาษที่เขาวาดไว้ แล้วเรียกมันว่า”ตัวเงิน..ที่มาจาก ตัวทอง..ที่ถูกหลอมเป็นแท่ง..อยู่ในธนาคาร ……)ช่วงนั้น มี ความรัก เป็นที่ตั้ง….ภาพนั้น…..เป็นปีที่มีฝนหนัก…น้ำ ทะลัก มาจาก ป่า ผ่าน..ไร่นา เชิงเขา…ลงมาตามทางน้ำ ที่ พยายามเก็บไว้….ไม่ให้เหมือน สภาพเดิม โดยรอบๆ ที่ กลายเป็น ที่ทิ้งขยะกลบห้วย เดิม..เพื่อให้ ตนได้มีเนื้อที่เพิ่มขึ้น ..จากเดิม..หรือ ทิ้งโดยไม่ได้คิด….เพราะมันคือหลุมบ่อ ธรรมดา เวลาไม่มีน้ำ….หลุมขยะ จึงเกิดขึ้น โดยปริยาย…สังเกตุว่า “บ้านเรา.. ชาวบ้าน ไม่เคยมีความรู้เรื่องขยะ (สมัยใหม่ มาก่อน)…ก็ได้แต่เผา ฝังกลบ กันไป ตามมี ตามเกิด จนมา ถึง บัดนี้…“โบราณ เรียก ว่า ปัด สวะ ไป พ้น บ้าน…(๕๕๕๕)…อ้าว…. จะเขียนเรื่อง ป่า ปลูก ไง กลายเป็น ขยะ…..ไปได้

อยู่…มาวันหนึ่งๆ…ในอดีต คนที่รัก๐ ที่ช่วยกันปลูกป่า..ดูแลป่า..ก็หายไปจากโลก นี้….และแล้ว ป่าที่ปลูก จึงมี โอกาศ สร้างตัวเอง และ เป็น ป่า.. โดยสมบรูณ์..เต็มรูปแบบ..ธรรมชาติ…..ป่าป่า อยู่ได้ด้วย ความเป็น ธรรมชาติ ที่เกี่ยวพัน ….กัน..คน สัตว์ แน่นอน.และ.ต้นไม้..เป็น ผู้สร้าง….ยึดแผ่นดินไว้….ไม่ให้ลมน้ำ..ยามพิโรธ..พาแผ่นดินไป…บันทึก นี้..แจ้งเกิด ..ของคำว่า ป่า..ปลูก ที่ถุก ทอดทิ้ง ให้ เติบโตเอง..เป็นระยะเวลา กว่าสิบห้าปี…มาจนบัดนี้….(ต้นสัก ที่ปลูกไว้ จำนวนหนึ่ง..ที่จำได้ ประมาณ สองพันต้น เหลือ ประมาณ ๗๐๐ต้น ที่มีลำต้นประมาณ๓๐ถึง๕๐ ซม.เส้นผ่าศูนย์กลาง โดยเฉลี่ย..มี ผู้ เชี่ยวชาญเรื่องค่าราคา มาให้ ราคา..ว่าน่าจะถึง ห้าสิบล้านบาท ..(ว่าเข้าไปนั่น..อย่าเพิ่ง ตาโต ไป..๕๕๕..เขาสมมุติ มิติ นี้ ขึ้นมา นั่น..ให้เราฝัน ตามไป…เรื่องของป่า กับคน สำหรับ วันนี้ จึงมีแค่นี้…ก่อน)

Rains, storms, floods, droughts, fires, heat waves, cold snaps,… people too come and go like moments of time through our life. Memory stays on, some vivid, some dim and blur for this present time. We hear people say ‘experience makes life full’ even when ‘we feel so empty and wishing for more experience’. We know the more experience we remember, the more we long for more.

Is ‘the forest’ now full of life or still looks empty of life?

ชีวิต.. ที่ว่าง…. วางได้…..​ใครๆ.. ใคร่(อยาก)​มี….ป่า….มีต้นไม้..ก็ต้องมีคน ดัด.. ใครๆ.. อยาก ตัด.. ใคร่.. (อยาก)… มี..เงินทองเป็นสิ่งนอกกาย.. ที่.. ใครๆ. ใคร่ (อยาก)… มี…ป่า.. อยู่ยังได้…. ใคร.. ๆใคร่(อยาก)… มี…ป่า.. มี… จึง.. ต้อง.. ปลูก.. ถ้า.. ใคร..​ใคร่(อยาก)… มี…ป่ามี… ชีวิตมี… ในมิติ… ของคน… ที่มี… จะอยากหรือ.. ไม่(หยาก)… ยากยิ่ง… ถ้า.. ยึด “อัตตา”.. ถือไป.. ว่า”ข้า”…. มี..ว่าง.. วางได้… จึง.. มี.. สุข.. พอประมาณ.. หากว่า.. ตัวตน… นั้นไม่…..สักวา.. ว่าด้วย.. มิติ…. ที่… ไม่มี…. นี้.. ดี.. เอย

After reading a blog on ‘evidence-based administration’ and reacting with ‘my’ observations of reality, now seeing here you offered ‘emptiness-based’ (‘anatta-based’?), I am looking at a note on my desk. The note says:

===ธรรมคุณ หมายถึง คุณของพระธรรมมี 6 ประการ ดังนี้ https://pantip.com/topic/31803001 สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมเป็นคำสอนอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สันทิฎฐิโก ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง อกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลเวลา เอหิปัสสิโก เชิญให้ใครๆ มาดู มาพิสูจน์ โอปะนะยิโก ควรน้อมเข้าไว้ในใจเพื่อยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ วิญญูชนรู้ได้เฉพาะตน

The last clause is “ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ วิญญูชนรู้ได้เฉพาะตน” with the ‘stress’ on ‘วิญญูหิ’ (วิญญูชน). It is what we need more.

ข้อ ความนี้ คัดลอก มาจาก ..”เขมะ นันทา”..มีดังนี้…- จิต เป็นธาตุหนึ่ง- ที่ไม่แยก ออกจาก ธาตุ อื่นได้-แต่ มีอยู่ เมื่อ จิต สำนึก - เกิด - โลก- จักรวาล- …จึงถูกตัดแบ่งให้เป็นวัตถุ ของ จิต…-อันเนื่องมา แต่การเกิด ของจิต สำนึกที่ ถูกประกอบ ด้วย..”เจตสิกธรรม”…อัน “อวิชชา”(ความไม่รู้ ความขาดสติ)..ครอบงำแล้ว..

โดยสรุป แล้ว คือ ความไม่รู้แจ้ง ให้ ทันท่วงที ที่ จิตสำนึก -เกิด-ภาษา-ชื่อ- ความหมาย-คุณค่า- ตามแนวทางของ สมมุมติ- ก็เข้า ตรงครบ ให้ สัญญา อันเป็นกลางๆกลายเป็น “อัตตสัญญา” ขึ้น….จิตสำนึก (วิญญาณ)จึงได้เนื้อหา หยั่งราก ลงตั้งมั่นเป็นนาม-รูป- ด้วย อาการ อย่างนี้…

สิ่งที่ลอก-ภาษา..มานี้…แจกแจงว่า…“นานาจิตตัง…” คิดได้ ว่า..วิทยาศาตร์และ ปฏิหาริย์..เป็นเพียงส่วนประกอบของ ธรรมชาติ…(It is what we are need more.)…วิญญูหิติ….

Yes there is no shortage of fingers (pointing out the ‘right’ way) but we need more light to see where we’re going ;-)

I have had a thought about senses: we can cover our eyes. ears, mouths(/tongues), noses, and skins (the 3 monkeys use only one hand and some say they need to cross their legs tight) to avoid ‘sensing’ physical world. But we cannot yet cover our ‘wandering mind’.

Meditation can at times save us from tangling ourselves with our inner ‘wants’ (including wishes for ปฏิหาริย์). How can we untangle our mind from ourselves?

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท