เช้าวันที่ ๓ พย. ๔๙ ผมนั่งเครื่องบิน บางกอก แอร์เวย์ส ไปสุโขทัย เพื่อไปบรรยายเรื่อง Chaordic Organization ในการประชุมเครือข่าย University KM Network (UKM) ครั้งที่ ๘ ระหว่างเดินทางผมได้เรียนรู้จากการนั่งเครื่องบิน ATR 72 ซึ่งบินไม่สูงนัก ยังมองเห็นทิวทัศน์ข้างล่างได้ค่อนข้างชัด
ตอนแรกผมคิดว่าเครื่องบินกำลังบินผ่านบริเวณที่เป็นบึง พอสังเกตมากเข้า จึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ใช่ แต่เป็นบริเวณที่มีน้ำหลาก มองเห็นแม่น้ำอยู่ไม่ไกล เห็นถนน หมู่บ้าน และบริเวณที่ลุ่มที่มีน้ำขังอยู่เต็ม เครื่องบินบินขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ ผมมองเห็นบริเวณที่น้ำหลากเป็นบริเวณกว้างบ้าง แคบบ้าง เต็มไปหมด คิดจินตนาการว่า ในสมัยโบราณน้ำหลากคงจะมากมายและชัดเจนกว่านี้ ถึงขนาดพม่าจะมาตีไทยยังต้องวางแผนอย่าให้โดนฤดูน้ำหลาก
ผมเพิ่งเข้าใจเรื่องน้ำหลากเมื่อไม่ถึง ๑๐ ปีมานี้เอง จากการไปดูที่ลุ่มน้ำสงคราม ทางภาคอีสาน โดย รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม เมธีวิจัยอาวุโส พาไปดู ท่านทำวิจัยวัฒนธรรมปลาแดก ในบริเวณลุ่มน้ำสงคราม ท่านชี้ให้เห็นว่าพอถึงฤดูฝน บริเวณ ๒ ฝั่งน้ำจะมีน้ำหลากเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เราไปดูเห็นน้ำหลากเป็นบริเวณกว้างสุดสายตา มองไม่ออกว่าตรงไหนเป็นแม่น้ำ ตรงไหนเป็นบก พอหมดหน้าน้ำแม่น้ำแคบนิดเดียว บางตอนกว้างแค่ ๓ - ๔ วา ตอนน้ำหลาก ชาวบ้านจะรู้ว่าตรงไหนเป็นแหล่งที่ปลาจะมารวมตัวกันอยู่มาก เขาจะหมุนเวียนกันมาจับ (แบบแบ่งปันกัน - วิถีชีวิตที่พอเพียง) จับปลาได้มาก จนต้องพัฒนาเทคโนโลยีถนอมอาหาร จึงได้วัฒนธรรมปลาแดก (ปลาร้าในภาษาท้องถิ่น) แดก แปลว่ายัด ที่บ้านผมที่ชุมพรเวลาเราพูดคำหยาบ เราจะพูดว่าแดกข้าว แปลว่ายัดข้าวเข้าปากแบบรีบๆ มูมมามไม่มีมรรยาท ปลาแดกจึงหมายถึงปลาที่ยัดในไห ใส่เกลือเพื่อถนอมไว้เป็นอาหารกินได้เป็นปี
คนไทยสมัยนี้ กับคนไทยสมัยก่อน มีมุมมองต่อน้ำหลากไม่เหมือนกัน สมัยนี้เราเรียกว่า "น้ำท่วม" และต้องหาทางเอาชนะ ไม่ให้น้ำท่วมบริเวณที่เราอยู่ แต่คนสมัยก่อนมองว่า "น้ำหลาก" เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เราต้องอยู่กับมัน จึงสร้างบ้านใต้ถุนสูง พัฒนาพันธุ์ข้าวขึ้นน้ำ ให้ต้นทะลึ่งสูงหนีน้ำท่วมได้ และอาศัยความอุดมสมบูรณ์ที่มากับน้ำหลากในการดำรงชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ
วิจารณ์ พานิช
๓ พย. ๔๙ ปรับปรุงเพิ่มเติม ๓๐ พย. ๔๙
ผมคิดว่านี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการที่เราไปเอาวัฒนธรรมตะวันตก (การเอาชนะธรรมชาติ) มาใช้ เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ให้บทเรียนที่มหาศาลแล้วครับ (ที่ไม่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นฐานหรือว่าเป็นตัวตั้งของการเรียนรู้เพื่อการดำเนินชีวิต)