ผมได้แง่คิดประเด็นหนึ่ง มานั่งคิดเพลินๆ เกี่ยวกับอาการอย่างหนึ่งของมนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ มันเป็นอาการ ตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ อย่างหนึ่ง เพราะว่าคนเรานั้นย่อมมีพฤติกรรมที่แสดงออกไปไม่เหมือนกัน ระดับความร้อน-เย็น ของอารมณ์ก็คงไม่เท่ากัน น่าจะขึ้นอยู่กับการฝึกของแต่ละคน ฝึกที่ว่านี้ หลายกรณีฝึกโดยไม่รู้ตัว ก็มีเหมือนกันนะครับ
สมัยหนึ่งที่เคยทำงานพัฒนาชนบทในอำเภอจักราช นครราชสีมา พี่ชายแสนดีในที่ทำงานเคยให้แง่คิดกับผมว่า.......
เราต้องพยายามหลีกเลี่ยง "การโต้ตอบแบบตีปิงปอง"
พี่เขาอธิบายคำกล่าวว่า ถ้าเราตีปิงปองอัดฝาผนังแรงเท่าไร มันก็จะคืนย้อนกลับมาที่เราเร็วและแรงเท่านั้น
หลายครั้งผมก็เชื่อตามคำกล่าวนี่เหมือนกัน เพราะตอนที่เห็นปรากฏการณ์จริง ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่ามานี่หละ แต่บางกรณีก็ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะคนนั้น ฝึกมาดี แทนที่จะเป็นฝาแข็ง กลายเป็นนุ่มแทน อัดลูกปิงปองมาแรงเท่าไร ก็ไม่เป็นผล
จากความคิดลูกปิงปองทำให้ความคิดผมกระโดดไปเชื่อมกับความคิดอีกเรื่องหนึ่ง เกิดเห็นความต่างอย่างหนึ่งระหว่าง อาการคัดท้าย กับอาการฟาดหัว-ฟาดหาง
ความต่างน่าจะเป็น "เจ้าตัวอารมณ์" ของคนเรานี่หล่ะ แล้วเจ้าตัวที่ว่านี้มาจากไหน?
ผมย้อนนึกเข้าไปในตัวเองจากอดีตที่ผ่านมา......
ผมว่าน่าจะเป็นเพราะ (แบบว่าไม่ค่อยมั่นใจ) เวลาใจ หรือจิต ของเราเกาะยึดติดกับอะไรแน่นมากๆ แล้วเมื่อเจอปรากฏการณ์ที่ไม่ตรงตามที่เรายึดติดอยู่นั้น ก็มักจะออกอาการเอาได้ง่ายๆ
เลยทำให้คิดต่ออีกว่า.....
คนที่ทำหน้าที่เป็นนายท้าย หากเป็นคนที่ยึดติดกับอะไรมากๆ ก็จะเผลอออกอาการ จระเข้ แทนที่จะทำหน้าที่ "คัดท้าย" ไปเสียนี่!
ในพุทธวิถีกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ทำนองนี้ไว้เหมือนกันครับ "ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นจากจิตใจของเราหากเราไปยึดติดกับมัน เราก็จะเกิดทุกข์ แต่ถ้าหากเราไร้ซึ่งการยึดติดโดยสิ้นเชิงแล้ว เราก็จะกลายเป็นคนเย็นชา ซึ่งทางที่ดีก็คือทางสายกลางนั้นคืดการฝึดจิตให้ยอมรับในสิ่งที่เป็นในสังคม ไม่ยึดติดในความดีของตนว่าตนเองดีกว่าใคร ไม่อหังกา ต้องรู้จักระงับกิเลสมีสติ เท่านี้ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตเราก็เป็นจะเป็นแค่ ความรู้สึกที่ผ่านมาและผ่านไป ไม่เกิดทุกข์
คนที่จะไม่ยึดติดในอารมณ์ ถือในสตินั้น ต้องฝึกจิตเหมือนกับที่คุณ Thawat บอกครับ หากทำได้แล้ว ระงับอารมณ์ได้แล้ว คุมสติอยู่แล้ว รับรองว่าสังคมจะเย็นลงกว่าปัจจุบันหลายองศาทีเดียวครับ