งานพัฒนาอาจารย์ด้านการเรียนการสอน_๐๒ : หลักสูตรการวัดผล ประเมินผล และการออกข้อสอบ เพื่อพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ (เรียนรู้จาก ผศ.ดร.จินดาพร จำรัสเลิศลักษณ์)


สำนักศึกษาทั่วไป กำลังขับเคลื่อนให้ "นิสิตปรับวิธีเรียน" และให้ "อาจารย์เปลี่ยนวิธีสอน"  อย่างเต็มตามศักยภาพ เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ และการผลิตบัณฑิตสำหรับขับเคลื่อนประเทศไปสู่ "ประเทศไทย ๔.๐"

การเปลี่ยนแปลงของโลกโลกาภิวัตน์ ทำให้นิสิตกำลังปรับวิธีเรียนรู้ การเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงทุกที่ทุกเวลา ยกเว้น "ในชั้นเรียน" อุปสรรคใหญ่ในการปรับวิธีเรียนรู้ของนิสิต คือ "การสอนของอาจารย์" สิ่งที่เราเหล่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต้องช่วยกันคือ หันกลับมามองห้องเรียนของตนเอง แล้วเริ่มศึกษาหาวิธีช่วยกัน "ปรับวิธีเรียนของนิสิต" ด้วยการ "เปลี่ยนวิธีสอน" ของตนเอง

คำว่า "เปลี่ยนวิธีสอน" ในที่นี้ไม่ใช่เปลี่ยนแค่กิจกรรมการเรียนรู้หรือท่าทีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน แต่หมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งความคิดรวบยอด (Concept) ท่าที วิธีคิด (Mindset) วิธีปฏิบัติ และกระบวนจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Centered) และชุมชน(สังคม) มีส่วนร่วม (Social Engagement)

ยุทธศาสตร์ ๕ ประการในการขับเคลื่อนให้เกิดการ "เปลี่ยนวิธีสอน" ได้แก่ ๑) พัฒนาห้องเรียนรวม โสตทัศณูปกรณ์ และสิ่งสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ที่เอื้อให้เกิดการปรับวิธีสอน  ๒) พัฒนาอาจารย์ผู้สอนให้เข้าใจในเป้าหมายหรือผลลัพธ์การเรียนรู้ และวิธีการจัดการเรียนรู้แบบเอาผลลัพธ์เป็นฐาน (Outcome-based Learning) ๓) ส่งเสริมและพัฒนาให้อาจารย์สอนแบบ Active learning ๔)พัฒนาการวัดผลประเมินผลการจัดการเรียนรู้ ๕) พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ... บันทึกนี้จะมุ่งไปที่การถอดบทเรียนการพัฒนาอาจารย์ตามยุทธศาสตร์ที่ ๒ เท่านั้น

ในการอบรมพัฒนาอาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไป ผศ.ดร.จินดาพร จำรัสเลิศลักษณ์ ผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) เรื่องนี้ของมหาวิทยาลัย ท่านรับเชิญมาเป็นวิทยากรด้วยตนเอง  ผมขออนุญาตท่านเพื่อถอดบทเรียนการเรียนรู้ตนเอง และนำสไลด์ของท่าน มาแบ่งปันท่านที่ยังไม่ได้เข้าอบรมครับ

๑) การจัดการเรียนรู้แบบ OBE คืออะไร 



OBE คือ การศึกษาที่เอาผลลัพธ์การฐานในการจัดการเรียนรู้ (Outcome-based Learning: OBL) คำถามคือ ผลลัพธ์ปลายทางที่สุดสำหรับการจัดการเรียนรู้ในระดับปริญญาตรีคืออะไร? ....


เป้าหมายของการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี คือ นิสิตสามารถเป็น "ผู้มีงานทำ" (ทำงานได้) หรือสามารถศึกษาในระดับที่สูงขึ้นไปได้อย่างดี... คือ จบแล้วมีงานทำ

นิสิตที่จะมีงานทำเป็นอย่างไร? คือคำถาม  โดยส่วนตัวผมตอบเลยว่า  คนที่จะมีงานทำคือ "คนดี"  โดยเฉพาะคนดีที่มีคุณค่าต่อสังคม คนที่จบไปแล้วใช้ความสามารถของตนเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน ตามปรัชญา "การเป็นที่พึ่งของชุมชนและสังคม" ของมหาวิทยาลัย .... แต่คุณสมบัติข้อนี้ "ประเมินได้ยาก" เป็นนามธรรม  กว่าจะเห็นว่าดีหรือไม่ไดี อดทนหรือไม่ ต้องรอให้ลองทำงานก่อนสัก ๖ เดืิอน ๑ ปี  หรือ ๕ ปี  คุณสมบัติด้านนี้จึงไม่ใช่จุดตัดสิน "การมีงานทำ" ณ ขณะนี้

ปัจจัยที่สำคัญและเป็นรูปธรรมที่สุด จึงเป็น "ความต้องการของตลาดแรงงาน"  คือ การผลิตบัณฑิตที่มีความสามารถตรงกับความต้องการของตำแหน่งงาน  ....   ผู้ที่ต้องปรับตัวมากที่สุดก็คืออาจารย์และหลักสูตรในมหาวิทยาลัย ให้ทันการเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย

ผมจับประเด็นการบรรยายของ ผศ.ดร.จินดาพร และขออนุญาตท่านสรุปไว้ในบันทึกนี้ เพื่อให้อาจารย์ที่ยังไม่ได้รับการอบรม เข้ามาศึกษาให้เข้าใจตรงกัน  ต่อไป




  • ขณะนี้ เรากำลังจะเข้าสู้สังคมผู้สูงอายุ  ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มที่ในปี ๒๕๗๔ คือมีผู้สูงวัยสูงถึงร้อยละ ๒๘ ของคน 

  • หากพิจารณาตามช่วงอายุจะเห็นว่า ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น สวนทางกับจำนวนเด็กลดลง 
  • ข้อมูลจากธนาคารโลก บอกว่า กว่าร้อยละ ๗๒ ของงานที่มีอยู่ในโรงงานของประเทศ เสียงจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร   
  • โรงงานของไทเบฟ (โรงงานผลิตเบียร์ช้าง) จำนวน ๓๐ - ๔๐ โรงงานจะเปลี่ยนเป็นเครื่องจักรกว่าค่อนครึ่ง (70-90% automation)
  • โรงงานผลิตชาโออิชิ ใช้คอมและเครื่องจักรร้อยละ ๙๐   (ต่อไปจะไม่ซื้อโออิชิ)
  • เมื่อพิจารณาว่างานอะไรที่หุ่นยนต์หรือเครื่องจักรจะมาแทนมากที่สุด  บิสสิเน็ตอินไซเดอร์ บอกว่า การขายหรือแนะนำสินค้าตามสายจะหายไป นักบัญชี นักตรวจสอบสินค้า จะหายไป ว่างั้น .... 
  • สำนักข่าว CBC บอกว่า อาชีพที่จะหายไปใน ๒๐ ปีข้างหน้าคือ ออฟฟิซให้เช่า พนักงานต้อนรับหรือบ๋อย ผู้ช่วยด้านกฏหมาย พ่อค้าขายปลีก คนขับแทกซี่ ยามรักษาความปลอดภัย ฯลฯ 
  • ประเทศที่เสี่ยงจะตกงานจากการเข้ามาแทนที่ของเครื่องจักร เรียงตามลำดับได้แก่ เวียดนาม เขมร อินโดนีเชีย ฟิลิปินส์ และไทย 
  • คนที่ศึกษาในสาขาอะไรที่จถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรและคอมฯ  เรงลำดับจากเสี่ยงมากสุดไปน้อยสุด ได้แก่  บัญชี เศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  การจัดการ ฯลฯ 
  • การจัดการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เนื้อหาหรือความรู้ แต่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจและพลังขับเคลื่อนให้นิสิตสร้างการเปลี่ยแปลงในชีวิตตนเอง 
  • สื่อการเรียนรู้แบบใหม่ .... เอกสารล้าหลังไปแล้ว 

  • Mindset การศึกษาที่ต้องเปลี่ยนไปให้เหมาะกับยุคสมัย ๖ ประเด็น ได้แก่ 
    • เปลี่ยนจากยึดตัวผู้สอนเป็นยึดตัวผู้เรียน 
    • เปลี่ยนจากครบตรงตามหลักสูตรเป็นการเน้นตามความจำเป็นและต้องการของบุคคล
    • เปลี่ยนจาก Cognetive-based Learning คือเน้นทักษะทางปัญญา เป็น Experience-based Learning หรือความรู้ที่ได้จากการคิด เป็นเน้นทักษะจากการลงมือปฏิบัติหรือประสบการณ์หรือความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ 
    • การเรียนรู้ในห้องเรียน โรงเรียน หรือเรียนรู้ในระบบ  เป็น การเรียนรู้นอกระบบ ทุกที่ทุกเวลา 
    • เปลี่ยนจากเน้นเรียนเพียงช่วงอายุ ๕-๒๒ ปี  เป็นการเรียนรู้ทุกช่วงชีวิต 
    • เปลี่ยนจากปริญญาสำคัญ  เป็นไม่สำคัญ 

  • สไลด์นี้บอกว่า  มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ที่ที่จะสอน และเป็นที่สำหรับเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจ
  • มหาวิทยาลัยต้องสร้างบัณฑิตให้สามารถทำงานที่ยังไม่เกิดขึ้น 
  • มหาวิทยาลัยต้องรับมือกับนักศึกษาที่ไม่เหมือนเดิม การเรียนการสอนที่เปลี่ยนรูปแบบไป รองรับความต้องการส่วนบุคคลของนักศึกษา 
  • มหาวิทยาลัยต้องปฏิรูปจึงจะอยู่รอด

  • อาจารย์ต้องไม่สอนแบบถ่ายทอดความรู้ แต่เน้นที่การออกแบบการเรียนรู้และอำนวยการเรียนรู้ 
  • รัฐบาล จะใช้โครงการที่ชื่อว่า "บัณฑิตพันธุ์ใหม่" เป็นโครงการสร้างคนตอบโจทย์ประเทศไทย ๔.๐ 
  • กระทรวงอุดมศึกษา (อาจไม่ใช่ชื่อนี้) ที่จะตั้งขึ้น กำหนดรูปแบบการพัฒนาสร้างบัณฑิต ไว้ ๕ รูปแบบ ได้แก่ 
    • บูรณาการหลายศาสตร์ เพื่อสร้างสมรรถนะเร่งด่วนของประเทศ (ดูสไลด์ด้านบน)
    • บูรณาการรายวิชาศึกษาทั่วไปกับรายวิชาเฉพาะในสาขา 
    • พัฒนาสาขาวิชาเดิม ต่อยอดให้ได้สมรรถนะสอดคล้องกับ New S-Curve  
    • จัดการเรียนรู้ที่รองรับความต้องการส่วนบุคคล 
    • อื่นๆ 
          ดังสไลด์ต่อไปนี้ 







  • ไม่น่าเชื่อว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยไทย มีหลักสูตรถึง ๑๘,๘๓๔ หลักสูตร  จากมหาวิทยาลัยของรัฐถึง ๑๕.๖๑๖ หลักสูตร 
  • มี ป.เอก ถึง ๑,๖๓๙ หลักสูตร  จากมหาวิทยาลัยของรัฐ ๑,๔๕๔ หลักสูตร 

  • จำนวนนักศึกษาจำแนกตามกลุ่มมหาวิทยาลัย แสดงดังสไลด์ด้านบนนี้
  • จำนวนนักศึกษารวมทั้งหมดในปี ๒๕๕๙ เป็น ๓,๘๒๘,๐๗๒ ลดลงเป็น ๑,๘๔๔,๗๔๗ คน ในปี ๒๕๖๐ 
  • จำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐมีมากถึง ๑,๐๖๕,๒๖๗ คน ในปีการศึกษา ๒๕๕๙ 
  • จำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของรํฐลดลงกว่าครึ่งในปี ๒๕๖๐ เป็น ๔๓๔,๘๒๖ คน 

  • ผู้สำเร็จการศึกษารวมทั้งประเทศในปี ๒๕๖๐ มีงานทำแล้ว คิดเป็นร้อยละ ๖๒.๘๒  ยังไม่ได้ทำงานและยังไม่ได้ศึกษาต่อ ร้อยละ ๓๓.๖๔ กำลังศึกษาต่อ ร้อยละ ๒.๓๑ และทั้งเรียนและทำงาน คิดเป็นร้อยละ ๑.๒๔  
  • จำนวนผู้มีงานทำภายใน ๑ ปี หลังสำเร็จการศึกษารวมของประเทศ ค่อยๆ ลดลง ในขณะที่จำนวนผู้ไม่มีงานทำและไม่ได้ศึกษาต่อ ค่อยๆ เพิ่มขึ้น 
  • มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นิสิตมีงานทำภายใน ๑ ปีที่สำเร็จการศึกษา อยู่ที่ร้อยละ ๙๓.๖๘ ๘๘.๒๖ และ ๘๙.๔๒  ในปี ๒๕๕๗ ๒๕๕๘ และ ๒๕๕๙ ตามลำดับ 
  • ข้อมูลจำแนกรายคณะ-วิทยาลัย แสดงดังตารางต่อไปนี้ 


  • หากเป็นผู้ปกครองอ่านบันทึกมาถึงตรงนี้ ก้น่าจะอุ่นใจว่า หากลูกหลานท่านมาเรียนที่ มมส. พ่อแม่ก็น่าจะได้พึ่งพาได้
  • ข้อมูลการมีงานทำของบัณฑิต ปี ๒๕๖๐ สามารถ ดาวน์โหลดได้ที่นี่ 
  • อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญคือ "คนดี" ที่มีคุณค่าต่อสังคมและชุมชน เป็นเรื่องสำคัญในระยะยาว ที่ประเมินได้ยากยิ่ง 
  • การได้งานทำคือสิ่งที่จำเป็นต้องเขียนใน มคอ.๒ อยู่แล้ว
  • สไลด์นี้ท่านสรุปว่า เป้าหมายในการจัดการเรียนรู้แบบ OBE ของมหาวิทยาลัยในยุคนี้ ได้แก่ 
    • ป.ตรี คือ ผลิตบัณฑิตที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน (หมายถึง จบแล้วมีงานทำ)
    • ป.โท คือ สามารถนำองค์ความรู้ใหม่ และกระบวนการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ไปประยุกต์ใช้พัฒนางานและสังคมได้ 
    • ป.เอก มีความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ 
  • หลักสูตรโท และ เอก แตกต่างกันต่างกัน ต้องมีรายวิชาที่แตกต่างกัน 
  • เป้าหมายคือทำให้ "เป็นผู้มีงานทำ" ในความหมายใหม่คือ "เป็นผู้ทำงาน" ที่มีองค์ประกอบ ๒ อย่างคือ  "เป็นผู้ทำงานได้" มีความสามารถ และ "เป็นผู้อยากทำงาน"  
  • เป้าหมายชัด คำถามคือแล้ว มหาวิทยาลัยจะทำอย่างไร  คำตอบคือ  ต้องสร้างหลักสูตรที่มี EOL (Expected Learning Outcome) แล้วต้องทำให้นิสิตสำเร็จการศึกษาภายในเวลาที่กำหนด 
  • แต่ที่ผ่านมา ตามหลักสูตรของ สกอ.  ป.ตรี ๔ ปี ป.โท ๒ ปี ป.เอก ๓ ปี  ระยะเวลาที่กำหนดแบบนี้ ทำให้มีอัตาการคงอยู่ (คงค้าง) จำนวนมาก  หากใช้เกณฑ์ประกันฯ ของ สกอ. บางปีจะไม่มีผู้สำเร็จการศึกษาเลย .
  • นอกจากนี้ยังมีอัตราการตกออก (drop out rate)  
  • ต้องเอาอัตราการได้งานทำ (Emploability) ตรงสาย  มีรายได้เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่ 

  • ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ตามสไลด์ด้านบนนี้นำเสนอโดย เครือข่ายความร่วมมือเพื่อทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ของสหรัฐอเมริกา (อ่านรายละเอียดที่นี่ เขียนดีมาก)
  • World Economic Forum กำหนดทักษะในศตวรรษที่ 21 ไว้ ๑๖ ประการ โดยแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ 
    • ทักษะพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี (Foundational Literacies) มี ๖ ประการ ได้แก่ 
      • อ่านออกเขียนได้ (Literacy) 
      • คิดเลขเป็น (Numeracy)
      • มีทักษะทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy)
      • มีทักษะทางการเงิน (Financial Litercy) 
      • รู้เรื่องวัฒนธรรมและความเป็นพลเมือง (Cultural and Civic Literacy)
    • สมรรถนะ (Copetencies)
      • การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) และการแก้ปัญหา (Problem-solving)
      • ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) 
      • การสื่อสาร (Communication)
      • ทักษะความร่วมมือ (Callboration)
    • คุณลักษณะของผู้มีคุณภาพ (Character Qulities)
      • อยากรู้อยากเห็น (Curiousity)
      • การริเริ่มสิ่งใหม่ (Initiative)
      • ความมุ่งมั่นพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมาย (Persistance/grit)
      • ปรับตัวได้ดี (Adaptability)
      • มีภาวะผู้นำ (Leadership)
      • Social and Cultural Awareness) 
  • ลิงค์นี้เขียนดีครับ 

  • ทักษะ 4Cs ในศตวรรษที่ ๒๑ มีองค์ประกอบหรือคุณลักษณะของแต่ละด้านดังนี้  (ผู้เขียนแปลเอง)
    • Critical Thinking  
      • ค้นพบสารสนเทศ (Information Discovery)
      • ตีความและวิเคราะห์(Interpatition & Analysis)
      • การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล (Resoning)
      • สังเคราะห์และประมวลข้อโต้แย้ง (Constructing Arguments)
      • แก้ปัญหา (Problem Solving)
      • คิดอย่างเป็นระบบ (System Thinking)
    • Communication
      • ฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Listening)
      • นำเสนอ (Delivering Oral Presentation)
      • สื่อสารโดยใช้สื่อดิจิตอล (Communicat using Digital Media)
      • สนทนาและอภิปราย (Engaging in Conversation & Discussion)
      • สื่อสารได้แม้สิ่งแวดล้อมจะแตกต่าง หลากหลาย (Communicating in Diverse Environments)
    • Callaboration
      • ริเริ่ม และเป็นผู้นำ (Leadership & Initiative)
      • ร่วมมือ (Cooperation)
      • ยืดหยุ่น ปรับตัว(Flexibility)
      • รับผิดชอบและสร้างผลงาน (Responsibility & Productivity)
      • ความร่วมมือผ่านทางดิจิตอล (Colaborate Using Digital Media)
      • สำนึกรับผิดชอบ และสะท้อนป้อนกลับที่เป็นประโยชน์ (Responsiveness & Constructive Feedback)
    • Creativity
      • เกิดไอเดียใหม่ๆ (Idea Generation)
      • นำไอเดียมาออกแบบใหม่หรือต่อยอด (Idea Design and Retrement)
      • ไม่ติดกรอบและกล้าที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ (Openess & Courage to Explor)
      • ทำอย่างอย่างสร้างสรรค์กับผู้อื่นๆ (Work Creativity with others)
      • สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือสร้างนวัตกรรม (Creative production & Innovation)

  • World Economic Forum  เสนอว่า ทักษะที่จำเป็น ๑๐ ข้อ เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ 
    • การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
    • การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
    • ความคิดสร้างสรรค์
    • การบริหารจัดการคน 
    • การทำงานร่วมกับคนอื่น 
    • ความฉลาดทางอารมณ์
    • การตัดสินใจ
    • การบริการ
    • ความยืดหยุ่นด้านการคิด

  • สไลด์นี้บอกว่า ๑๐ ทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในปี  2020 (ผู้เขียนแปลเอง)
    • ไหวพริบปฏิภาณ (Sense making) สามารถเข้าใจหรือตรวจสอบความหมายจริงๆ นัยยะ ของสิ่งต่างๆ ได้ รู้ถึงความสำคัญของสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่
    • ความฉลาดทางสังคม (Social Intelligence) สามารถเชื่อมโยงกับผู้คน เข้าใจและตอบสนองต่อสังคม 
    • การคิดใหม่ๆ และการปรับตัวกับสิ่งใหม่ๆ (Novel and Adaptive Thinking) 
    • มีสมรรถนะที่หลากหลายวัฒนธรรม (cross cultural competancy)
    • คิดเชิงคอมพิวเตอร์ได้ (Computational Thinking) 
    • การรู้สื่อใหม่ๆ (New Media Literacy)
    • เข้าใจวินัยร่วม (Trans Disciplinary) 
    • การออกแบบกระบวนทัศน์ (Design Minset)
    • การจัดการภาระด้านพุทธพิสัย (Cognetive Load Management)
    • ความร่วมมือเสมือน (Virtual collaboration) 


  • ศตวรรษที่ ๒๑ ของคนในศตวรรษที่ ๒๑ แบ่งเป็น ๓ ส่วน ตามการนำเสนอของ Katz (Katz's three-skill approach)  ได้เป็น 
    • Conceptual Skills   ทักษะเชิงหลักการ
    • Technical Skills   ทักษะการทำงาน 
    • Human Skills  ทักษะเกี่ยวกับคน 


  • ในการจัดการหรือดำเนินชีวิตเพื่อเอาตัวรอด จำเป็นต้องมี เก่งงาน (ทักษะการทำงานสูง) และเก่งคน (ทักษะเกี่ยวกับคนสูง)

  • ในการจัดการขั้นกลาง ต้องใช้ทักษะเชิงหลักการและทักษะการทำงานในระดับปานกลาง แต่ต้องเก่งคน

  • ในการจัดการขั้นสูงสุด ไม่ต้องเก่งงานมาก แต่ต้องมีทักษะเชิงหลักการสูง และต้องเก่งคน
    • Technical Skill ก็คือ Hard Skill
    • Human Skill ก็คือ Solf Skill
    • ทักษะเรื่องเก่งคน สำคัญมาก ต้องสูงในทุกระดับการจัดการ  
    • รายวิชาศึกษาทั่วไป สำคัญมากในบริบทว่า ต้องสร้าง Soft Skill ให้ผู้เรียน 

    • เมื่อเปรียบเทียบความสำคัญของทักษะด้านต่างๆ ที่สร้างความสำเร็จในการทำงาน ซึ่งจำเป็นต้องมี สำหรับการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม  พบว่า  Social Skills หรือทักษะทางสังคม มีความสำคัญถึงร้อยละ ๔๔  ทักษะการจัดการทรัพยากร สำคัญร้อยละ ๒๓ 
    • ทักษะทางสังคม ที่สำคัญ ได้แก่  การกำหนดบทบาทของตนเองต่อผู้อื่น การควบคุมอารมณ์ การเจรจาต่อรอง การโน้มน้าวชักชวน การบริการ การสอนหรือฝึกผู้อื่น  
    • ทักษะการจัดการ ที่สำคัญ ได้แก่ การบริหารจัดการทรัยากร งบประมาณ วัตถุดิบ คน และเวลา 


    • จุดสำคัญที่สุดของการศึกษาที่เอาผลลัพธ์เป็นตัวตั้งคือ  เป้าหมายต้องชัดเจน  ผลลัพธ์ต้องชัดเจน 
    • เมื่อเป้าหมายชัดแล้ว ค่อยเริ่มออกบบวิธีการสอน วิธีการเรียนรู้ว่า จะทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมายนั้น 

    • การศึกษาแบบ OBE ต้องตั้งเป้าสูงที่สุด ที่ผู้เรียนที่พร้อมที่สุดจะไปถึง  ไม่ใช่ตั้งเป้ากลาง ๆ 
    • ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ จะต้องหลากหลายสอดคล้องกับธรรมชาติและความพร้อมที่แตกต่างกันของผู้เรียน 

    • ต้องเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือทำ สร้างสรรค์ผลงาน พัฒนาความสามารถส่วนบุคคล และสะท้อนสมรรถนะที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ โดยใช้เนื้อหา สารสนเทศ ไอเดีย และเครื่องมือ ที่นำไปสู่ผลสำเร็จ 
    • เมื่อผลลัพธ์ที่ต้องการจะให้เกิดกับผู้เรียนชัดเจนแล้ว ค่อยออกแบบหลักสูตร วิธีสอน และกระบวนการประเมินผล 

    • ผลลัพธ์ชัดเจนหมายถึง  สามารถกำหนดชัดเลยว่า  ต้องการให้ผู้เรียน "รู้อะไร" "ทำอะไรได้"  

    • ทำไมต้องเปลี่ยนมาสอนแบบ OBE คำตอบคือ
      • เพราะสิ่งที่ผู้เรียนทำได้นั้นชัดเจน ตรวจวัดได้ ได้รับการยอมรับจากผู้คน
      • ความสามารถพื้นฐานของบุคคลเกิดขึ้นชัดเจน
      • เพราะเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางจริง ๆ 
    • คำสำคัญของการจัดการเรียรู้แบบ OBE ได้แก่ 
      • มุ่งความสนใจไปที่ ผลที่เกิดกับผู้เรียน เรียกว่า ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง (Expected Learning Outcome; ELOs) 
      • ELOs จะต้องถูกสร้างขึ้นก่อนในการออกแบบหลักสูตร และจะต้องชัดเจน 
      • เป็นการออกแบบหลักสูตรแบบย้อนกลับ (ฺBackward design)
      • ผู้เรียนคือจุดศูนย์กลางของการจัดการเรียนรู้แบบ OBE 
      • สิ่งที่สำคัญมากในการจัดการเรียนรู้แบบ OBE คือ ความสอดคล้องสอดรับกัน (contruction alignment) ระหว่างผลลัพธ์ทางการเรียน เนื้อหาและกระบวนการ กิจกรรมการเรียนรู้ และกระบวนการประเมินผล  
    • คำถามสำหรับอาจารย์ ในการจัดการเรียนการสอนแบบ OBE คือ 
      • ท่านอยากจะให้ผู้เรียนรู้อะไร
      • ทำไมท่านจึงต้องการให้เรียนรู้เรื่องนั้น 
      • วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องนั้น ทำอย่างไร 
      • ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า ผู้เรียนได้เรียนรู้แล้ว 

    • สามข้อนี้ต้องสัมพันธ์กัน  ได้แก่   
      • Objective  หรือ Learning Outcome   
      • Activity Instructional strategies 
      • Assessment Method


    • หรือสรุปคำถามในเชิงรวบยอด ดังนี้ 
      • ผลลัพธ์การเรียนรู้คืออะไร 
      • ขณะนี้ผู้เรียนมีคุณลักษณ์อย่างไร ห่างจากเป้าหมายการเรียนรู้มากหรือไม่  มีช่องว่างเท่าใด 
      • ทำอย่างไรจะทำให้ช่วงว่างนั้นลดลง 
      • จะรู้ได้อย่างไรว่า ช่องว่างนั้นลดลง

    • การเรียนการสอนจะเปลี่ยนไปจากแบบด lecture based  ที่ focus on teaching ไปเป็น focus on learning  ดังสไลด์ด้านล่าง 


    • ดังนั้นวิธีการ สำหรับอาจารย์จะเปลี่ยนไป ดังสไลด์ด้านบนนี้   

    • วิธีคิดเพื่อกำหนด OBE  เริ่มจาก 
      • คิดถึง สมรรถนะแกนก่อน ซึ่งประกอบด้วย สมรรถนะทั่วไป (Generic Competencies) และ สมรรถนะหลัก (Domain-Specific Competencies) 
      • คิดถึงว่า หากจะเกิดความสามารถนั้นๆ ต้องเรียนรู้อะไร ความรู้อะไร ทักษะอะไร เจคติอะไร 
      • แล้วคิดว่าจะเรียนอย่างไร  โดยคิดถึง กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอน สื่อและทรัพยากรการเรียนรู้ที่ต้องมี 
      • คิดว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าสมรรถนะนั้นเกิดแล้ว  โดยให้คิดวิธีวัดผล ประเมินผล  ให้ครอบคลุมทั้ง  การประเมินกระบวนการ (Formative Assessment) และการประเมินผลตามเกณฑ์ (Summative Assessment)
    • การออกแบบ ILO ต้องย้อนกลับจากใหญ่ไปเล็ก  ของประเทศ -> ของมหาวิทยาลัย ->ของหลักสูตร->ของวิชา->ของหน่วยการเรียนรู้ ->ของบทเรียน
    • แต่ตอนทำต้องทำจากเล็กไปใหญ่ 

    • หากวิเคราะห์ความต้องการสำหรับการกำหนด ELO จะเรียงลำดับความสำคัญดังนี้ เริ่มจาก ความต้องการของผู้เรียน ของผู้ใช้บัณฑิต หรือของอาชีพ ของรัฐบาล ของสังคม ของภาควิชา ของคณะ ของมหาวิทยาลัย  
    • แนวทางในการสร้าง ELOs  ต้องคำนึงถึงหลายสิ่งอย่าง  ตามสไลด์
    • การเรียนรู้จะลู่เข้าไปสู่ Lifelong Learning (LLL) ซึ่งได้แก่
      • ทักษะการเรียนรู้และการแก้ปัญหา
      • การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและความร่วมมือกันทำงาน
      • การเป็นผู้ประกอบการ ... การสร้างอาชีพของตนเอง 
      • การสื่อสาร  การใช้เทคโนโลยี และการใช้สื่อต่างๆ 
      • ความเป็นพลเมือง
      • ความยั่งยืน 
    สรุป

    สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตามกรอบ TQF ล้วนแล้วแต่เป็นกลไกที่มุ่งให้สอนแบบ OBE แต่ต้องเข้าใจ และลงมือทำ 

    • มคอ.๑ คือ ELO ของอาชีพ สาขา 
    • มคอ.๒ คือ ELO ของหลักสูตร 
    • มคอ.๓ ๔ คือ ELO วิธีการสอน วิธีการประเมิน แผนการสอน แผนการประเมิน ของรายวิชา 
    • มคอ.๕ ๖ คือ รายงานผลการประเมิน 
    • มคอ. ๗ คือรายงาน มคอ.๒  
    • มคอ.๘ (มีหรือเปล่า?) รายงานผล มคอ.๑ 
    จบครับ ขอบพระคุณ ผศ.ดร.จินดาพร จำรัสเลิศลักษณ์ ที่ท่านไม่เคยหวงความรู้ ที่จะแบ่งปันเป็นวิิทยาทานเลย แม้แต่น้อย ... ขออนุโมทนาด้วยครับ 
    หมายเลขบันทึก: 648854เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2018 18:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 ธันวาคม 2018 09:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


    ความเห็น (0)

    ไม่มีความเห็น

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท