ประคองใจในวิกฤต


ดีต่อใจ


เรื่องเล่า……ดีต่อใจ

                แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านมู่ลี่เป็นเส้นๆภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มีเสียงเครื่องช่วยหายใจ เสียง alarm เครื่อง monitor เสียงเครื่อง suction เสียงพูดคุย รวมถึงเสียงเดินของเจ้าหน้าที่ ที่เดินไปเดินมาเหมือนมีกิจกรรมทำอยู่ตลอดเวลา ภายในห้องสี่เหลี่ยมนี้มีเตียงนอน 6 เตียงเรียงกัน ทุกๆวันก่อนเริ่มงาน ฉันจะเดินเข้าไปทักทายและสอบถามแต่ละเตียงเพื่อแนะนำตัว เป็นการประเมินเบื้องต้นและสร้างสัมพันธภาพ สร้างความไว้วางใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆ

                วันนี้วันที่ 14 เมษายน (วันครอบครัว) ฉันก็ทำเช่นเดิม เตียงที่ 3 ผู้ป่วยชายไทยสูงอายุ นอนหลับตา คาท่อช่วยหายใจและเครื่องฟอกไตอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมียากระตุ้นหัวใจ และสอดใสสายต่างๆอีกหลายอย่าง มีญาติเป็นผู้หญิงผมขาว มือสั่นปากสั่นนั่งจับมืออยู่ข้างๆ พร้อมด้วยญาติคนอื่นๆอีก 5 คน  ฉันประเมินจากสิ่งแวดล้อมบรรยากาศดูเงียบๆ อึมครึม (จะสว่างก็ไม่สว่าง จะมืดก็ไม่มืดซะทีเดียว) เตียงนี้ต้องมีอะไรพิเศษเป็นแน่แท้ ฉันคิดในใจ และเดินเข้าไปแนะนำตัวพร้อมทักทายยกมือไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ “สวัสดีค่ะคุณยาย หนูชื่อจันทร์จิรา นะคะ วันนี้หนูทำหน้าที่เป็นพยาบาลหัวหน้าเวร เวรเช้าวันนี้ค่ะ” คุณยายยกมือไหว้ฉันพร้อมกล่าว “สวัสดีจ้าคุณหมอ” (คนอิสานจะเรียกบุคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาลว่า คุณหมอ) ด้วยสีหน้าเศร้า สังเกตเห็นน้ำตาคลอเบ้า และคุณยายก็พูดขึ้นอีกว่า คุณหมอเพิ่นโทรศัพท์หาฉันตั้งแต่เช้าแล้ว ว่าอาการพ่อใหญ่บ่ดี ให้ญาติมาโรงพยาบาล เพิ่นนัดฉัน แปดโมงครึ่ง ฉันกังวลใจหลายเลยมาแต่เช้าๆ มารอเพิ่นอยู่นี่ล่ะ” คุณยายพูดเสียงสั่นเครือ ฉันจับมือคุณยายและพูดปลอบใจว่า “ใจเย็นๆเนาะคุณยาย เดี๋ยวฟังข้อมูลจากคุณหมอซะก่อนเนาะ แล้วเราค่อยปรึกษากันเนาะ” คุณยายบีบมือฉันแน่น แต่ถึงเวลารับเวรฉันจึงขออนุญาตไปรับเวร “คุณยายอยู่กับคุณตาก่อนเด้อหนูขออนุญาตไปรับเวรก่อน เดี๋ยวหนูมาคุยด้วยอีก”  รับเวรเสร็จข้อมูลผู้ป่วยรายนี้เป็นโรคตับแข็งระยะรุนแรง มีเลือดออกในทางเดินอาหารที่ได้รับการส่องกล้องและผูกรัดบริเวณเลือดออก 2 ครั้งแล้วร่วมกับช๊อกจากการติดเชื้อ มีโรคเดิมเป็น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตวายเรื้อรัง ไขมันในเลือดสูง ที่ทีมบุคลากรมักจะเรียกว่า เบาหวานและคณะ คุณหมอมาพอดีฉันเชิญญาติเข้าห้องประชุมและเดินประคองแขนคุณยายเข้าไปในห้องและนั่งข้างๆคุณยาย คุณหมอแนะนำตัว และทีมดูแลพร้อมทั้งถามความสัมพันธ์ญาติแต่ละคน จากนั้นได้แจ้งอาการผู้ป่วยว่า “ตอนนี้เราให้การรักษาเต็มที่ แต่อาการคุณตาไม่ค่อยดีนะครับ ความดันเลือดตกตั้งแต่เมื่อคืน หมอให้ยากระตุ้นความดันสองตัวและค่อนข้างสูงแต่ความดันก็ยังไม่คงที่ ซึ่งถ้าให้สูงมากๆถึงจุดหนึ่งอาจไม่ตอบสนองและอาจจะปลายมือปลายเท้าเย็นเขียวได้ ตอนนี้คนไข้ไม่รู้สึกตัว มีโอกาสที่หัวใจจะหยุดเต้นได้ตลอดเวลา ซึ่งถ้าหัวใจหยุดเต้น………คุณหมอยังพูดไม่ทันจบ เสียงร้องไห้ก็ดังระงมห้องประชุม ฉันจับมือคุณยายไว้แน่น คุณยายพูดขึ้นพร้อมร้องไห้น้ำเสียงสั่นเครือว่า “บ่มีหนทางแล้วแม่นบ่คุณหมอ” “โดยตัวโรคเดิมของผู้ป่วยไม่สามารถทำอะไรได้แล้วครับ” คุณหมอตอบ และคุณยายก็พูดขึ้นว่า”ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลตอนแรก ตาลาวสั่งไว้ว่าบ่ให้ใส่สายต่างๆ ลาวอยากไปอยู่กับลูกหลาน ไปตายบ้าน ถ้าเอาลาวกลับบ้าน สิออดบ้านบ่คุณหมอ” “หมอก็ไม่แน่ใจแต่ถ้าญาติจะเอากลับ หมอก็อนุญาตและจะให้ยากระตุ้นหัวใจเพื่อให้ถึงบ้านและเดี๋ยวให้พี่พยาบาลคุยเรื่องกลับบ้านอีกทีนะครับ ถ้างั้นผมขอไปดูคนไข้ก่อนนะครับ” หมอตอบพร้อมเดินจากไป ทิ้งให้ฉันอยู่ในทะเลแห่งความเศร้า ภูเขาแห่งความทุกข์ ที่ยิ่งใหญ่เหลือคณา ยากที่จะเยียวยาและปลดปลงให้ลดลงได้ ความรู้สึกของฉันตอนนั้นก็เหมือนกับเป็นญาติของฉันเช่นกัน ฉันเปิดโอกาสให้ญาติได้ร้องไห้สักพัก และยังกำมือคุณยายไว้แน่น และพูดว่า “คุณยายปรึกษาลูกหลานซะก่อนเด้อ คิดจั่งได๋ ตัดสินใจแบบได๋ให้เข้าใจกัน” และยายก็ถามลูกหลานว่า “หมู่โตว่าจั่งได๋ คิดคือแม่บ่ เอาลาวกลับบ้านเฮาซะเนาะ ลาวทรมานโพด” ลูกหลานทุกคนพยักหน้าพร้อมน้ำตาและเสียงสะอื้น  ฉันจึงถามคุณยายว่า “คุณยาย อยากให้คุณตาลาวได้ทำบุญบ่ ถวายสังฆทาน รับพรจากพระสงฆ์ ให้เพิ่นได้เห็นบุญ และบุญได้นำทางเพิ่น ก่อนสิเอาเพิ่นกลับ เดี๋ยวหนูจะประสานงานให้ค่ะ” “คือดีแถะคุณหมอ ฉันคิดหยังบ่ออกหรอก” คุณยายตอบ จากนั้นฉันได้อธิบายถึงขั้นตอนการดำเนินการเพื่อนำตัวผู้ป่วยกลับบ้านให้ญาติฟังอย่างละเอียด ฉันประคองยายและพาญาติๆไปอยู่กับผู้ป่วย ให้ยายนั่งข้างๆจับมือตาและบอกตาว่าจะพากลับบ้านตามความต้องการของตาที่ได้บอกไว้ ฉันขออนุญาตไปประสานงานเรื่องการทำบุญและดำเนินการเรื่องกลับบ้าน สักพักจึงมาแจ้งญาติให้ไปนิมนต์พระสงฆ์ที่หอสงฆ์อาพาธและบูชาสังฆทาน หลวงพ่อมาถึง ฉันได้เตรียมชุดกรวดน้ำ ดอกไม้ และเทียน พร้อมคำขอขมา จัดเก้าอี้ให้หลวงพ่อและปูเสื่อให้ญาตินั่งข้างเตียงและอยู่เป็นเพื่อน เสียงพระสวดภาษาบาลี แม้เพียงเบาๆ แต่เหมือนดังกึกก้องไปทั้งตึก สยบเสียงต่างๆและความวุ่นวายของไอซียู ให้เงียบลงโดยฉับพลัน คุณยายได้เอาสังฆทานให้คุณตาจับและบอกกล่าวว่าทำบุญพร้อมกับร้องไห้ เมื่อเสร็จฉันหันมองจอมอนิเตอร์ สังเกตเห็นว่าชีพจรคุณตาเต้นช้าลง จึงบอกคุณยายและญาติว่าคุณตาอาจจะไม่ไหว และให้อยู่กับคุณตาตลอดเวลา ฉันคลำชีพจรช้าลงเรื่อยๆ ประมาณ 5 นาทีจากนั้นเสียง alarm monitor ก็ดังขึ้น ทุกคนเงยหน้าตามเสียง ชีพจรศูนย์ “ชีพจรคลำไม่ได้ คุณตาเพิ่นหมดแล้วค่ะ”   ฉันแจ้งญาติ เสียงร้องไห้ก็ดังก้องตึก สยบเสียงวุ่นวายต่างๆอีกครั้ง

              หลังแต่งตัวคุณตาดูหลับสบาย ประหนึ่งว่าหมดทุกข์ สิ้นเวรสิ้นกรรม ได้พาคุณยายและญาติมาอยู่กับคุณตา คุณยายยังจับมือคุณตาและพูดกับคุณตาและส่งทางสวรรค์ ได้ทำบุญ มีบุญนำทาง คุณยายยกมือไหว้ฉันพร้อมขอบคุณ “ขอบคุณคุณหมอหลายๆ ฉันดีใจหลายที่ได้พาตาทำบุญ คุณหมอซะแม่นใจดีคัก ช่วยหมดทุกอย่าง ช่วยคิด ช่วยทำ บ่รังเกียจ บางอย่างที่ฉันคิดบ่ออก ถึงแม้ว่าบ่ได้พาตาลาวกลับไปตายอยู่บ้าน ตามความต้องการลาว  แต่ฉันกะสุขใจ สุดใจคักแล้วที่ได้ทำให้ลาวมื้อนี้ ดีใจที่คุณหมอใจดี ซะแม่น “ดีต่อใจ” ฉันคัก ขอให้คุณหมอเจริญๆเด้อ ขอให้ได้บุญหลายๆเด้อ” ฉันยกมือไหว้ตอบ การให้ด้วยใจ ทำด้วยใจ อย่างน้อยภายใต้ความทุกข์ เราก็ยังได้สร้างความสุขให้กับเขาได้บ้าง “ดีต่อใจ” ทั้งสองฝ่าย

ICU scoring

หมายเลขบันทึก: 648425เขียนเมื่อ 22 มิถุนายน 2018 11:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2018 13:47 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

  อนุโมทนาบุญกับพี่เจี๊ยบนะคะ

และเขียนได้เห็นภาพ มากๆเลยค่ะ 

อิ่มใจ อิ่มบุญดีต่อใจสมชื่อเรื่องจริงๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท