“คงต้องใช้…ใจแลกใจ”
ท่ามกลางบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว ในช่วงบ่ายของวันทำงานของผม หลังจากวางสายโทรศัพท์ สักครู่หนึ่งเจ้าหน้าที่เปลก็เข็นผู้ป่วยเข้ามาด้วยความเร่งรีบ ผู้ป่วยหญิงวัยกลางคน นอนบนรถนอนด้วยท่าทางอ่อนเพลีย มาพร้อมกับญาติซึ่งเป็นสามีและบุตรสาววัยทำงาน ผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้ป่วย "Common bile duct injury" มีภาวะท่อน้ำดีได้รับความเสียหายจากการผ่าตัดที่ถูกส่งตัวมาจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งนั่นเอง
“หวังว่าบริการคงจะไม่แย่เหมือนโรงพยาบาลก่อนหน้านี้หรอกเนาะ” เป็นประโยคทักทายประโยคแรกที่สามีผู้ป่วยที่เอื้อนเอ่ยกับพยาบาลด้วยเสียงอันดังเมื่อมาถึง
“ที่นี่น่าจะไม่เหมือนที่นั่นหรอกมั้งพ่อ” ลูกสาวผู้ป่วยพูดขึ้นมาบ้าง
เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็ได้ยินในสิ่งที่ญาติสนทนากัน แต่พวกเราก็ยังนิ่งและทำหน้าที่ของตนเองต่อไป
เนื่องจากวันนั้นอากาศร้อนอบอ้าวมาก หลังจากนำผู้ป่วยลงเตียงเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้เตรียมน้ำมาเช็ดตัวผู้ป่วยเพื่อที่จะได้สบายตัวมากขึ้น ผมได้ชวนญาติมาเช็ดตัวผู้ป่วยด้วยกัน พร้อมกับสอนการดูแลที่ถูกต้องควบคู่ไปด้วย
“หมอโรงพยาบาลนั้นชุ่ยมาก ทำเมียผมน้ำดีรั่ว” สามีของผู้ป่วยพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ท่าทางโมโห
“ผ่าตัด 3 รอบแล้วยังไม่หายเลย” ผู้ป่วยพูดสำทับขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบสีหน้าเบื่อหน่าย
“วันนี้เราก้าวเท้าข้างไหนออกจากห้องหนอ ทำไมต้องมาเจอเคสแบบนี้ด้วยวะ” ผมคิดในใจ
ผมแนะนำการดูแลแผล และการเยี่ยมผู้ป่วยพร้อมทั้งเช็ดตัวไปด้วย ทันใดนั้นลูกสาวของผู้ป่วยก็เปิดม่านเข้ามา แล้วก็พูดสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมต้องสะดุด
“ผ่าตัดคนไข้ ก็ไม่แจ้งญาติ ไม่บอกคนไข้ จะผ่าก็ผ่าตามใจหมอ ญาติไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลย” ลูกสาวกล่าว
“ใช่หรอครับ เขาน่าจะให้ข้อมูลเราอยู่นะ” ผมถามด้วยความสงสัย
หลังนั้นเรื่องราวต่างๆก็พรั่งพรูออกมาจากปากของผู้ป่วยและญาติ ถึงเหตุการณ์ที่เคยประสบเมื่อครั้งรักษาที่โรงพยาบาลเดิม ผมได้แต่นิ่งฟังเรื่องราวให้จบ ก่อนที่จะตอบกลับไปว่า
“ผมก็ไม่ทราบแน่ชัดนะครับ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นยังไง และผมก็บอกไม่ได้หรอกว่า หมอที่นั่นเขาทำผิดพลาดอะไรหรือเปล่า เพราะผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่า ไม่มีใครอยากให้คนไข้ประสบอันตรายหรอกครับ เอาอย่างนี้นะครับ ที่นี่เราดูแลคนไข้เต็มที่ตามมาตรฐานครับ ญาติไม่ต้องกังวล”
“ผมจะแน่ใจได้ยังไง” ญาติกล่าว
“ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ” ผมตอบกลับด้วยสีหน้าฉาบรอยยิ้ม
ดูท่าทางแล้ว ผู้ป่วยและญาติคงจะมีความกังวลอยู่ไม่น้อยในเรื่องของการรักษาพยาบาล อาจจะด้วยเหตุการณ์ต่างๆที่เคยประสบมาหรือเหตุผลใดๆก็ตาม ผมได้แต่คิดในใจว่าหน้าที่ของเราคือต้องดูแลผู้ป่วยให้ดีที่สุด เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ในช่วงสัปดาห์แรกของการนอนรักษา ผู้ป่วยและญาติแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ไม่พูดไม่จา และทำสีหน้าเรียบเฉยทุกครั้งที่พูดคุย ประหนึ่งว่าเบื่อโรงพยาบาลมากเต็มที ผมและเจ้าหน้าที่คนอื่นเองก็พยายามทักทาย พูดคุยแสดงความจริงใจและเป็นกันเองทุกครั้งที่เข้าไปหาผู้ป่วยรายนี้ เราทุกคนช่วยกันให้กำลังใจผู้ป่วยและญาติอย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่ทำได้
เวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่ง เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้ป่วยและญาติ ผู้ป่วยเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น ยิ้มแย้มเวลาที่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ตัวญาติที่เป็นสามีเองก็เข้ามาช่วยดูแลผู้ป่วยเป็นประจำ และยังช่วยเราบริการผู้ป่วยรายอื่น ทั้งพาชั่งน้ำหนัก แจกกะละมังน้ำตอนเช็ดตัว พฤติกรรมของญาติเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“คุณป้าครับ วันนี้เป็นไงบ้าง ยังปวดแผลอยู่มั้ยครับ” ผมกล่าวทักทาย
“ปวดเล็กน้อยค่ะ ดีขึ้นมากแล้ว” ผู้คุณป้าตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ผ่าตัดรอบนี้ได้ผลดีมากนะครับ คุณหมอบอกว่าไม่นานก็กลับบ้านได้แล้ว” ผมพูดพลางยิ้มให้กำลังใจ
คุณป้ายิ้มตอบแล้วพูดว่า “อยู่มาตั้ง 2 เดือน สนิทกับพยาบาลหมดแล้ว ไม่อยากกลับเลยค่ะ”
“กลับบ้านแล้วก็มาเยี่ยมกันได้นะครับ ถ้าคิดถึง” ผมตอบกลับ
“เดี๋ยวจะเอามะขามหวานมาให้ด้วย” สามีคุณป้าพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางอบอุ่นใจดี ช่างแตกต่างจากวันแรกที่พบกันโดยสิ้นเชิง
ต่อมาไม่กี่วัน แพทย์ได้แจ้งว่าผู้ป่วยรายนี้ต้องย้ายไปที่หอผู้ป่วยอื่น ซึ่งผู้ป่วยและญาติก็บอกว่าไม่อยากย้ายไปไหน แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องรับผู้ป่วยรายอื่น เราจึงทำการย้ายผู้ป่วยตามที่แพทย์ต้องการ ก่อนย้ายคุณป้าและสามีได้เดินไปขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่คอยดูแลช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจให้เสมอมา ไม่ใช่แค่คุณป้าที่ใจหายเมื่อจะจากกัน แต่พวกเราเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ใจหายไม่ต่างไปจากคุณป้าเลย
“การดูแลด้วยหัวใจ” สิ่งนี้ยังคงใช้ได้ไม่ตกยุค ไม่ว่าผู้ป่วยจะเคยได้รับประสบการณ์ที่เลวร้ายเพียงใด แต่หากเราใช้หัวใจและความจริงใจในการดูแล ผู้ป่วยก็พร้อมที่จะมีประสบการณ์ใหม่ที่ดีกับเราได้เสมอ
“คุณหมอก็เก่ง คุณพยาบาลก็ดูแลเอาใจใส่เหมือนญาติ ขอบคุณจริงๆครับ” ผมนั่งอ่านข้อความที่ญาติเขียนไว้พลางยิ้มและรู้สึกอิ่มในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก และความรู้สึกนี้ก็คงจะอยู่ในความทรงจำของผมไปอีกนาน
มาเชียร์เลยครับ