ภาพของหญิงสาววัย 63ปี รูปร่างผอมบาง แทบไม่มีมวลกล้ามเนื้อหรือไขมัน ปรากฏให้เห็น นอกจากผิวหนังหุ้มกระดูก แก้มตอบ ตาลึก แต่สายตาที่ตรงข้ามกับร่างกาย เปร่งประกายของความสู้ และแฝงด้วยอ่อนโยน พร้อมคำพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ว่า “กะไม่เครียด กะไม่กลัว กะรับได้ มีปวดตามร่างกายบ้าง และเหนื่อยมาก แต่พอได้รับการสอนเรื่องการหายใจ หายใจให้ลึ้กลึก กลั้นหายใจไว้นิดนึง และหายใจออกมาเบาๆ ทางปาก พร้อมทั้งแสดงการหายใจให้เห็น ทำให้กะเหนื่อยน้อยลง” เมื่อฉันได้สนทนากับน้องสุ บุตรสาวของภาพที่ฉันได้นึกถึง ผู้ที่ออกจากงานที่กรุงเทพเพื่อออกมาดูแลมารดา เมื่อเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด หลังจากมารดาได้สิ้นชิวิตไปแล้ว และได้ดำเนินการพิธีทางศาสนา เรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะประเมินการดูแล และพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง. และเมื่อฉันได้สติก้อได้กลับมาสบสายตากับน้องสุอีกครั้ง
น้องสุบอกว่าก่อนหน้าที่จะมีทีมเข้าไป ให้คำปรึกษาและดูแล ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มีรูปแบบการดูแลแบบนี้ด้วย. ไม่รู้ทางเลือกในการดูแล คิดแต่ว่าต้องรักษาโรคให้หาย ยอมจ่ายเงินค่ายาเม็ดละ 200 บาท เดือนละ 60,000 บาทเป็นอย่างน้อย ไม่เคยคิดเรื่องการรักษาคน การประคับประคองชีวิตให้มีความสุขที่สุด แม้แต่เรื่องโรคที่มะเป็นอยู่ยังคิดจะปิดบัง ไม่ยอมบอกให้ทราบโดยไม่คิดเลยว่ามะจะกังวลมากน้อยแค่ไหนเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่
แต่ในทางกลับกันเมื่อมะทราบมะกลับทำใจได้มากกว่าที่คิดและ ยอมรับในสิ่งที่เป็น สบายใจกว่าที่จะไม่ทราบข้อมูลของตนเอง ทำให้ฉันนึกถึงบทสนทนากับผู้ป่วยเกี่ยวกับการวางแผนการรักษาตนเอง เมื่อฉันถามว่า “หากวาระสุดท้ายมาถึง เมื่อหายใจลำบาก หายใจเหนื่อย ต้องการให้ช่วยอย่างไร นอกจากเรื่องวิธีการหายใจ ซื่งไม่ได้เป็นการช่วยเรื่องของโรค เช่น การให้ยาลดอาการเหนื่อย ช่วยประคับประคอง ลดความทรมาน หรือใส่ท่อช่วยหายใจ มะจะตอบทันทีว่า “มะรักษาเต็มที่ ด้วยยาทุกอย่างแต่ไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือปั๋มหัวใจ เพราะชีวิตเรา พระเจ้าได้ให้มาแล้ว แล้วแต่พระเจ้าจะจัดการ”
ไม่มีความเห็น