สังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนได้ต้องเปลี่ยนจากฐานราก ชุมชนคือฐานรากของสังคม ถ้าชุมชนเข้มแข็ง สังคมก็จะเข้มแข็ง วันนี้สังคมอ่อนแอเพราะชุมชนอ่อนแอ อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ถูกครอบงำจากคนที่มีอำนาจมากกว่า มีความรู้มากกว่า มีทุนมากกว่า
ก่อนจะเลือกทำงานด้านการวิจัย ปรอยฝนได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมการเรียนรู้กับพี่ปืน รงค์รบ ในเรื่องของการไปจัดศูนย์การเรียนรู้เพื่อชุมชน
เพื่อจัดการเรียนการสอนให้เด็กพิการ ทำให้ได้รู้จักการทำงานอย่างมีขั้นตอนและการเรียนรู้แบบทีมงานเครือข่าย อีกทั้งได้สรุปงานออกมาในลักษณะของงานวิจัย
นวักรรมการเรียนรู้ครั้งนี้ ได้มีระบบการทำงาน ดังนี้
๑. แบ่งประเภทผู้พิการ โดยเลือกประเภทที่มีศักยภาพมากที่สุด มาเป็นกลุ่มนำร่อง
๒. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มเพื่อหาข้อสรุปในการแก้ปัญหาต่างๆ หรือประเด็นการยกระดับคุณภาพชีวิต
ชุมชนจะมีการพัฒนา การเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ยังทำให้ความเป็นชุมชนแนบแน่นขึ้น
๓. สื่อสารความสำเร็จและองค์ความรู้ที่ได้ ไปในช่องทางต่างๆ ในชุมชน เช่น เสียงตามสาย วิทยุชุมชน
ป้ายประกาศที่วัด เทศบาล โรงพยาบาลตำบล โรงเรียน และใช้ อสม.เป็นผู้สื่อสารอีกหนึ่งช่องทาง)
๔. โฆษณาเชิญชวน กลุ่มผู้พิการเป้าหมายที่ยังไม่ออกมาร่วมกิจกรรม ให้ออกมารวมกลุ่ม
ชี้ให้เห็นความสำเร็จและประโยชน์
๕. ประเมินผลและปรับกลยุทธ์ ยุทธวิธี
โมเดลขั้นแรก และเป็นภาพใหญ่ ในการปฏิบัติงานจริงๆ
ซึ่งจริงๆ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้ เราออกแบบโมเดลตรงนี้ไปไกลมาก
คุณรงค์รบมองว่ามันอาจไม่ใช่โมเดลที่เป็นคำตอบสุดท้าย ดังนั้น จึงขอประเมินสถานการณ์ภายหลัง
อ้างอิง: https://www.gotoknow.org/posts...
การร่วมจัดกระบวนการเรียนรู้ พอจะสรุปได้ 8 ประการว่า ชุมชนเรียนรู้อย่างไรจึงได้ผล
1. สนุก เพราะเรียนเรื่องชีวิต เกี่ยวกับชีวิตจริง เรื่องใกล้ตัว เรียนด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่เครียด ไม่กดดัน ไม่แข่งขันเพื่อเอาชนะ ไม่มีการแพ้คัดออก ไม่ใช่การเรียนที่เป็นทุกข์
2. ได้ความรู้จริง เพราะได้ปฏิบัติ ทดลองด้วยตนเอง ความรู้จริงมาจากการลงมือทำมากกว่าการนั่งฟังการบรรยาย ซึ่งหากไม่ได้นำไปปฏิบัติ ไม่นานก็ลืม
3. ได้เพื่อน ได้เครือข่าย เป็นการเรียนรู้ร่วมกับคนอื่น ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้สนทนาวิสาสะ ได้เสวนา ได้ถกเถียง จนเกิดความรู้ความเข้าใจ ได้ร่วมมือกันคิดร่วมมือกันทำ ช่วยกันพัฒนา ช่วยกันแก้ปัญหา
4. ได้กินได้ใช้ เพราะเรียนแล้วได้ผลจนได้กินได้ใช้สิ่งที่ตนได้ทำ เป็นผลที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ทันที ไม่ต้องรอให้เรียนจบหลักสูตรก็ได้รู้รสของการเรียนรู้ที่ดีที่ให้ผลตอบแทนที่ "กินได้" จริง ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เรียนแล้ว "ทำเป็น" ไม่ใช่แค่ท่องจำได้ แต่ทำได้จริงมากกว่า
5. ได้ขาย ได้เงิน การเรียนรู้ที่ดีต้องเรียนให้ครบวงจร ไม่ใช่เพียงทำเป็น ผลิตเป็น แต่รวมถึงการจัดการเป็น เมื่อเหลือกินเหลือใช้ก็ขาย แต่ต้องเรียนรู้การจัดการ การขาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เรียนรู้ได้ และต้องเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ จึงจะเรียกว่าเรียนแล้วได้ผลจริง
6. ได้ความคิด ไม่ได้หมายถึงเพียงแต่ได้รับความคิดต่างๆ มา แต่หมายถึงเรียนแล้วคิดเป็น ถ้าเรียนแล้วคิดเป็นย่อมหมายถึงได้เข้าถึงหัวใจของการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายในวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบไทยๆ ที่เน้นการรับรู้ ท่องจำ ซึ่งนำไปสู่การเลียนแบบมากกว่า การเรียนรู้ที่ดีนำไปสู่การคิดเป็น เมื่อคิดเป็น คิดได้ ก็จะมีความเป็นอิสระปลดปล่อยจากการครอบงำ ทำให้คิดอะไรใหม่ๆ ได้อีกมากมาย
7. ได้วิธีการเรียนรู้ ทำให้เรียนรู้เป็น ช่วยให้เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต เริ่มจากการเรียนการตั้งคำถาม เริ่มจากความไม่รู้ความสงสัย ไม่ใช่เริ่มจากการหาคำตอบสำเร็จรูป แต่มาจากการตั้งคำถามเป็น ซึ่งจะนำไปสู่การค้นหาคำตอบใหม่ๆ นำไปสู่การสืบค้นหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ ผู้รู้ นำมาเชื่อมโยงจนเกิดความรู้ความเข้าใจ เมื่อนำไปสู่การปฏิบัติก็ยิ่งทำให้รู้แจ้งเห็นจริงจนสรุปเป็นหลักการ หลักคิด เป็นปรัชญา เป็นปัญญา
8. ได้แรงบันดาลใจ ซึ่งเป็นอะไรที่ล้ำลึกและมีพลัง แรงบันดาลใจเป็นแรงขับจากภายในทำให้คนที่ล้มลุกขึ้นมาเดินหน้าได้ ทำให้คนที่คนที่สิ้นหวังเกิดความหวัง คนที่คิดว่าถึงทางตันเห็นทางออก คนที่คิดว่าตนเองไม่มีอะไรค้นพบศักยภาพหรือสิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง
การปฏิรูปการศึกษาวันนี้ยังพายเรืออยู่ในอ่างเพราะไม่สามารถก้าวข้ามกรอบคิดเดิมๆ ได้ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้การศึกษากับชีวิตสัมพันธ์กัน ที่สำคัญ ยังไม่สามารถทำให้การศึกษากับการเรียนรู้เป็นเรื่องเดียวกันได้ (ดร.เสรี,)
ไม่มีความเห็น