พ.ศ. ๒๔๘๓ ผ่านมา ๘ ปีหลังจากได้ปฏิบัติวิปัสสนาและศึกษาพระอภิธรรม ท่านได้เรียบเรียงหนังสือแนวปฏิบัติธรรมและวิปัสสนาภูมิ ชื่อว่า "ความเบื้องต้น" เป็นงานหนังสือธรรมะเล่มแรกของท่าน
พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้ร่วมกันคิดตั้งสถานที่เล่าเรียนพระอภิธรรมสนทนาะรรมสมาคม หลังวังบุรพา เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยนิมนต์ภัททันตะวิลาสมหาเถระ มาสอนทุกวันเสาร์บ่าย ๒ โมง แต่สอนได้แค่ ๒ เดือน เรพาะหลีงจขากที่ท่านได้รับนิมนต์ไปบ่อพลอยไพลิน จึงหวัดพระตะบอ
กลบมาเกิดไม่สบาย และไม่สะดวกในเรื่องล่าม การเรยนการสอนพระอภิธรรมครั้งนี้จึงต้องหยุดไป
พ.ศ. ๒๔๙๐ เดือนกรกฎาคม เร่ิมเปิดการเรียนการสอนพระอภิธรรม ณ วัดระฆ้งโฆสิตารามวรมหาวิหาร แขวง ศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โดยมีพระครูสังฆรกษ์ สุข ปวโร เป้นอาจารย์ใหญ่ และมีอาจารย์สาย สายเกษม อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ เป็นครู โดยใช้หลกสูตรพระอภิธรรม ๙ ปริจเฉท ที่อาจารย์สาย สายเกษมได้เรียบเรียงไว้ ในครั้งนั้นมีนักศึกษาทั้งหมดประมาร ๑๐๐ คน
พ.ศ.๒๔๙๔ ทางพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึงตั้งอยู่หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ได้เชิญท่านไปแสดงปาฐกถาพระอภิธรรมทุกวันเสาร์
พ.ศ.๒๔๙๖ ร่วมกับอาจารย์บุญมี เมธางกุล และคุณพระชาญบรรณกิจ ตลอดจนอาจารย์ท่านอื่นๆ เร่ิมสอนอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๑ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๓ สอบจบปริจเฉทที่ ๙ เมื่อปี ๒๕๒๐
พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้ย้ายการบรรยายพระอภิธรรมจากพุทธสมาคมฯ มาที่หอประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ซึงจุคนได้ประมาณ ๕๐๐ คน มีผู้เข้าฟังแน่นทุกครั้ง รัฐบาบลก็ให้ความสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่อมาสภาวัฒนธรรมได้ถูกยกเลิกไป จึงกลับมาใช้สภานที่พุทธสมาคมฯ
พ.ศ.๒๔๘๗ จัดตั้งสำนักปฏิบัติวปิัสสนาที่วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร วัดสามพระยา วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร สำนักนาฬิการวัน อยุธยา วัดป่าโสภณ ลพบุรี เดินทางไปสอนวิปัสสนาที่นครหลวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว และสนับสนุนการตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนา รวม ๔๑ จังหวัด
พ.ศ. ๒๕๐๖ จัดตั้ง "สมาคมศูนย์ค้นคว้าทางพระพุทธศษสนา" และ "สมาคมสงเคราะห์ทางจิต" ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และดำรงตำแหน่งนายกสมาคมทั้ง ๒ แห่ง มาตลอดอายุของท่าน ในระหว่างนั้นได้นำคณะกรรมการฯ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภุมิพลอดุลยเดชฯ หลายครั้ง และยังเคยกราบบังคมทุลตอบพระราชปุจฉาในเรื่องธรรมอีกด้วย
พ.ศ.๒๕๒๓ ในโอกาสอายุครบ ๘๒ ปี คณะศิษย์ได้ร่วมกันจัดตั้งมุลนิธิและของอนุญาตใช้ชื่อท่านเป็นชื่อของมูลนิะิว่า "มูลนิธิแนบมหานีรานนท์" ตั้งเป้ฯสำนักปฏิบัติวิปัสสนาและสำนักศึกษาพระอภิธรรม โดยท่ายย้ำว่า "อย่าเอาธรรมะไปซ์้อขายกันนะ พระพุทธเจ้าท่านให้เราด้วยความบริสุทธิ์"
วันอังคารที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ เวลา ๑๓.๑๑ นาฬิกา ท่านได้จากโลกนี้ไปด้วยอาการสงบ สิริอายุ ๘๖ ปี
๑๔ ธันวาคม ปีเดียวกัน สมเด็จพระอรยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสนมหาเถร) เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีฌาปนกิจศพ ณ วัดมกุกษัตริยาราม ราชวรวิหาร..http://nab.or.th/%E0%B8%9B%E0%...
ไม่มีความเห็น