เห็นรายการโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอสนำเสนอของหวานโบราณ "ส้มฉุน" โดยใช้ส้มบางมดของชาวสวนส้มบางมดโดยตรง ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นช่วงอนุรักษ์และฟื้นฟูสวนส้มบางมดให้กลับมาโด่งดังเช่นอดึต .............
เห็นภาพบรรยากาศของสวนส้มแล้วก็ให้หวนคิดถึงเมื่อ ๔๐ ปีก่อน (พ.ศ.๒๕๒๑ โอ! ย้อนไปนานโขเชียวล่ะ) ที่เกริ่นมาใช่ว่าจะเกี่ยวกับส้มหรอกนะ แต่เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่เคยเรียนแถวบางมด คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นนายกสโมสรนักศึกษา ม.เทคโนฯ รู้จักกันจากกิจกรรมสโมสรซึ่งในยุคนั้นมีกิจกรรมร่วมกันกับต่างสถาบันอยู่บ้าง บังเอิญว่าเขามีน้องสาวมาเป็นเฟรชชี่ที่คณะอักษรศาสตร์ด้วย แม้จะเรียนสายวิทย์แต่ดูท่าน่าจะสนใจด้านศิลป์อยู่มาก พอทาง มศก.วังท่าพระจัดนิทรรศการงานศิลป์ เพื่อนคนนี้ก็อยากจะไปชมเหลือเกิน แม้ว่าจะไม่สันทัดงานศิลปะ แต่ในฐานะเจ้าภาพจึงอาสาพาไป โชคดีที่มีเพื่อนหลายคณะก็อาศัยเพื่อนจากคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์มาช่วยสาธยายให้ฟังได้อย่างลึกซึ้งเชียวล่ะ เราเองก็พลอยอ้าปากหวอฟังได้ความรู้ไปกะเขาด้วย (คนบรรยายตอนหลังจบ ป.ตรี เปลี่ยนสาขาเรียน ป.โท เอก เป็นโปรเฟสเซอร์ด้านอาหารที่อเมริกา และเป็นเชฟดังคนหนึ่ง)
เมื่อมาประชุมและทำกิจกรรมที่วังท่าพระบ่อยๆ กอปรกับต้องมาเรียนที่คณะโบราณคดี ๑ ภาคเรียน อีกทั้งมีเพื่อนจากหลายคณะจึงคุ้นเคยกับที่นี่ ทั้งสถานที่และผู้คน ฉะนั้นวันหยุดสุดสัปดาห์ทั้งปี กลุ่มของเรายังคงวนเวียนอยู่แถววังท่าพระ ท่าพระจันทร์ รวมไปถึง ม.ธรรมศาสตร์ ทั้งเรียนทั้งเล่นทั้งกิน พูดถึงอาหารการกินแล้วแถวนี้มีมากมายหลายร้าน หลากชนิดและไม่แพง แวะกินยังไม่ทั่วเลย ถ้าไม่อยากไปแออัดก็เลือกกินในมอทั้งสองแห่งได้สะดวกตามแต่กิจกรรมว่าวันนั้นอยู่ ณ ที่ใด บ่อยครั้งก็ข้าฟากไปกินที่ร้านสหกรณ์ รพ.ศิริราช ที่นี่ก็อร่อยมากเช่นกัน แต่แปลกว่าไม่เคยแวะชิมอะไรที่ตลาดท่าน้ำพรานนกเลยสักครั้ง คงเป็นเพียงทางผ่านเท่านั้นกระมัง
สมัยนั้นหนังสือเรียนหายากและแพงมาก ได้แต่ฟังเล็คเชอร์จากอาจารย์ ต้องค้นคว้าหาอ่านเองอีกที พวกเราจึงตะลุยอ่านหนังสือในหอสมุดทั้งสองสถาบัน(ไม่เว้นแม้แต่หอสมุดแห่งชาติ) และมิวายแวะดูหนังสือตามแผงหน้าประคู ม.ธรรมศาสตร์ฝั่งท่าพระจันทร์ ที่นักศึกษาขายกันเองจนคุ้นเคยกับเจ้าของแผงทั้งสองคน ซึ่งต่อมากลุ่มเราก็ได้ขนหนังสือจากแผงนี้แหละไปขายต่อที่ทับแก้ว มีครั้งหนึ่งไปฟังบรรยายทางวิชาการกับเพื่อนสองคน จบแล้วเดินมาแวะแผงเช่นเคย พอสบตาเห็นหน้ากันเท่านั้นแหละ ทั้งสองก็หัวเราะร่วน ชี้มือมาหาและตู่ว่าแอบไปดูแข่งตะกร้อมา ช่างบังเอิญเหลือเกินที่มีแข่งขันวันนั้นและยังเลิกพร้อมกันพอดี มิน่าล่ะคนถึงได้พลุกพล่านนัก
มีครั้งหนึ่งที่เพื่อนวิดวะตามไปฟังบรรยายด้วยกัน จบแล้วชวนไปเที่ยว ม.เทคโนฯ นั่งรถเมล์ไปกันทันใดทั้งสี่คนจากหน้า ม.ธรรมศาสตร์ สนามหลวงออกนอกเมืองไปนานมาก ผ่านสวนส้มทั้งสองข้างทางเป็นแนวยาวดูเงียบราวกับชนบท กว่าจะถึงที่หมายได้ก็เกือบจะงีบหลับล่ะ เจ้าถิ่นพาเดินชมมาทุกคณะ มาจบที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ แถมบรรยายประกอบเชิงวิชาการเป็นคุ้งเป็นแคว เราคนฟังน่ะ มึนตึ้บ แต่ก็พยายามจะเข้าใจด้วยเกรงใจเจ้าของถิ่น เขาเองก็คงมึนๆ ตอนฟังบรรยายก่อนหน้านี้แน่เชียว ..... มีเพื่อนนอกกรอบเป็นเช่นนี้เอง ถึงอย่างไรก็ต้องขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีอันดีงาม....
อ้อ อีกคนจากคณะวิทยาศาสตร์ รุ่นน้องปีหรือสองปี รู้จักมักจี่กันอย่างไรก็ชักจะลืมๆ ไปละ คงเป็นเพื่อนเจ้าเหรัญญิกสโมสร นศ.เพราะเรียนคณะเดียวกัน แต่เจ้านี่มาแรงแซงโค้ง ชอบแหกคอกมาคุยกับกลุ่มอักษรอยู่เรื่อยจนสนิทชิดเชื้อกับหลายๆ คน ลามมาจนถึงรุ่นพี่ หลังๆ ได้ข่าวว่าเป็นดารารับเชิญเป็นตัวประกอบในละครหลายเรื่องของพวกเรียนการละคร พบกันครั้งสุดท้ายตอนกลับไปเยี่ยมน้องๆ เขาแซวตัวเองว่ากำลังเรียนวิทยาศาสตร์การละครอยู่ แล้วหันมาแซวกันว่า "พี่น่ะ จบอักษรศาสตร์การบัญชี" (ปีนั้นทำบัญชีที่บริษัทแห่งหนึ่งแถวสมุทรสาคร) อีกไม่กี่ปีต่อมาก็ได้เห็นเขาเล่นละครตอนเย็นเรื่องหนึ่ง จำชื่อไม่ได้แล้ว ในบทนั้นชื่อ "ไอ้โต่" สมแล้วที่เรียนวิทยาศาสตร์การละคร
ส่วนเพื่อนนอกกรอบที่สนิทที่สุด ให้ฉายาเขาเองว่า "เพื่อนรักต่างดาว" เขาเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เราต้องตกกระไดพลอยโจนในการมาทำกิจกรรมสโมสร นศ. ดังนั้นจึงอาสามาช่วยเป็นฝ่ายประสานงานของสองวิทยาเขต อีกอย่างก็มีน้องสาวมาเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ด้วย ได้ข่าวว่าดร็อปเรียนวิชาเลือกหมดทุกตัวจึงมีเวล่ำเวลามาช่วยงานได้เต็มที่ แถมช่วยได้ทุกเรื่อง เป็นคนลุ่มลึก คิดเก่ง แก้ปัญหาเก่ง ช่วยขนหนังสือมาขาย และเทียวไปเทียวมาระหว่างสองวังทั้งปี จบไปเป็นสถาปนิกตามสายเรียน น้องคนเล็กเขาก็เรียนถาปัดเหมือนกันแต่ต่างสาขา หลังๆ มา เขาบอกว่าสนใจด้านประวัติศาสตร์มาก โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ไทย ได้อ่านศึกษา วิเคราะห์ รวบรวม เรียบเรียง จนผุดความคิดที่อยากจะเขียนเล่าประวัติศาสตร์ไทยให้เด็กอ่านเข้าใจง่าย เปรยๆ ว่าจะเขียนอย่างไรดี เราจึงเสนอแนะให้เขียนในรูปแบบการ์ตูน เพราะเขาวาดเก่งมาก และอาสาจะเป็นฝ่ายพิสูจน์อักษรให้ ในการพูดคุย ไม่ว่าจะเจาะเรื่องใด สมัยใด ตอนไหน เขาเล่าบรรยาย วิเคราะห์วิจารณ์ได้หมด โอ้! ฟังแล้วทึ่ง อึ้ง เถียงไม่ออก......... ตอนนี้ เราคงเป็นคู่สทนาด้วยได้ยากเสียแล้ว เอกประวัติศาสตร์จำต้องม้วนเสื่อกลับก่อนละ
ไม่มีความเห็น